สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ควงพันธมิตร เดินหน้าสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ชูเทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนตอบแบบสอบถามออนไลน์ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” และเว็บไซต์ พร้อมย้ำความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล ด้าน “ประเสริฐ” รมว.ดีอีเอส หวังข้อมูลช่วยลดความเหลื่อมล้ำ จัดสรรทรัพยากรตรงจุด
กรุงเทพมหานคร – สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) จัดงานเปิดตัวโครงการ สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 อย่างเป็นทางการ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
การจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะในครั้งนี้ ถือเป็นวาระสำคัญระดับชาติที่ สสช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประชากรและที่อยู่อาศัยของคนในประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ เพื่อพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข การศึกษา คมนาคม และอื่นๆ อีกมากมาย
นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า “ข้อมูลสำมะโนประชากรฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวางแผนพัฒนาประเทศในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เพราะจะช่วยให้ภาครัฐทราบถึงจำนวนประชากร โครงสร้างอายุ เพศ การศึกษา การทำงาน ที่อยู่อาศัย และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรงบประมาณ และการให้บริการสาธารณะต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด”
ผนึกกำลังพันธมิตร สร้างการรับรู้สู่สาธารณะ
ก่อนหน้าพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงบ่าย สสช. ได้จัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเช้า ณ ห้องสุขุมวิทแกรนด์บอลรูม โรงแรมเจดับบลิวแมริออท กรุงเทพฯ ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับผู้ทรงอิทธิพลบนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Influencers) และพันธมิตรภาคเอกชน เพื่อสร้างความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์โครงการสำมะโนฯ ให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง
การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ สสช. สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNRCO) กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ คือ
- สร้างความตระหนัก: ให้ผู้เข้าร่วมรับทราบถึงความสำคัญของสำมะโนฯ ปี 2568 และผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย การบริการสาธารณะ และการวางแผนพัฒนาประเทศ
- เพิ่มขีดความสามารถ: พัฒนาทักษะในการสร้างเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียที่น่าสนใจและให้ข้อมูล เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมตอบแบบสำมะโนฯ
- ส่งเสริมความร่วมมือ: สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง สสช., UNFPA, IOM, UNHCR, UNICEF, ผู้ทรงอิทธิพลฯ และภาคเอกชน เพื่อขยายผลการประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางที่สุด
- จัดทำชุดเครื่องมือ: มอบชุดเครื่องมือที่ประกอบด้วยข้อความหลัก ตัวอย่างโพสต์ และแนวคิดสร้างสรรค์เนื้อหาที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
ภายในงาน มีการนำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสำมะโนฯ โดยคุณหทัยชนก ชินอุปราวัฒน์ ผู้อำนวยการกองสถิติพยากรณ์ สสช. รวมถึงการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ได้แก่ คุณบุญธิดา ชินวงษ์ (ฝ้ายใช้เท้าแต่งหน้า), คุณอัญชิการ์ กุมาร อโรร่า (เจนนี่ อโรร่า) และคุณพิศาล แสงจันทร์ กับคุณทายาท เดชเสถียร (บอล-ยอด หนังพาไป) โดยมีคุณอธิภัทร วรางคนันท์ จาก UNFPA เป็นผู้ดำเนินรายการ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอแนวทางการสื่อสารกับกลุ่มเปราะบางและเข้าถึงยาก โดยผู้แทนจาก IOM, UNHCR และ UNICEF เพื่อให้มั่นใจว่าการทำสำมะโนครั้งนี้จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” อย่างแท้จริง
เสริมทัพประชาสัมพันธ์ด้วย SMS
ในวันเดียวกัน สสช. ยังได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การส่งข้อความสั้น (SMS) เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตอบแบบสอบถามออนไลน์ โครงการสํามะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (Thailand Post) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้แก่ True, AIS และ Dtac
ก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
สำหรับสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 นี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ สสช. ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยแบบสอบถามจะถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ได้แก่ อังกฤษ พม่า ลาว เวียดนาม เขมร และ จีน
นายภุชพงค์ อธิบายถึงรูปแบบการเก็บข้อมูลในครั้งนี้ว่า “เราจะเปิดให้ประชาชนสามารถกรอกข้อมูลสำมะโนฯ ได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 20 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยมีช่องทางหลัก 3 ช่องทาง คือ แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เว็บไซต์ ‘ทางรัฐ’ และเว็บไซต์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 3 ช่องทางนี้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ”
นอกจากการเก็บข้อมูลออนไลน์แล้ว สสช. ยังได้ปรับปรุงเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอื่นๆ ให้ทันสมัยขึ้น เช่น การใช้แท็บเล็ตในการสัมภาษณ์ และการใช้ระบบ GIS (Geographic Information System) ในการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ สสช. ยังคงมีเจ้าหน้าที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า “คุณมาดี” ลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากประชาชนที่ไม่สะดวกในการกรอกข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มีความครบถ้วนและครอบคลุมทุกครัวเรือน
ย้ำความปลอดภัยของข้อมูล
ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่ง สสช. ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับแรก โดยยืนยันว่าข้อมูลที่ประชาชนให้มาจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับและนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาประเทศเท่านั้น
“เราได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อมูลของประชาชนจะมีความปลอดภัยสูงสุด” นายภุชพงค์ กล่าว
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลว่า “เราได้คำนึงถึงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเคร่งครัด ข้อมูลสำคัญบางอย่าง เช่น หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก จะไม่มีการเปิดเผย เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าข้อมูลของท่านจะถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย”
ความคาดหวังและประโยชน์ของข้อมูล
ข้อมูลที่ได้จากสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเท่าเทียม และการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวว่า “ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของผู้บริหารในการกำหนดนโยบายและโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
นอกจากนี้ ข้อมูลสำมะโนฯ ยังเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปในการวางแผนธุรกิจ การลงทุน การศึกษา การวิจัย และการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
คำเตือนเรื่องมิจฉาชีพ
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับมิจฉาชีพที่อาจใช้โอกาสนี้ในการหลอกลวงประชาชน โดยขอให้ สสช. ปิดกั้นช่องทางที่อาจเป็นจุดอ่อนให้มิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และขอให้ประชาชนระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับใคร
การเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในทุกมิติ ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
#สำมะโนประชากร2568 #สสช #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #ข้อมูลประชากร #พัฒนาประเทศ #ลดความเหลื่อมล้ำ