ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยยังคงฉายแววโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนและการทำธุรกิจ โดยได้รับเสียงยืนยันจากตัวแทนสถานทูตชั้นนำหลายประเทศที่มองเห็นศักยภาพและโอกาสอันมหาศาลในไทย พร้อมร่วมมือผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ สะท้อนจากตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าไทยกว่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 ในงานเสวนา “What’s the Global View in Thailand – Shaping International Business in the Heart of ASEAN” จัดโดย ทรู ดิจิทัล พาร์ค
กรุงเทพฯ – เวทีเสวนา “What’s the Global View in Thailand – Shaping International Business in the Heart of ASEAN” ซึ่งจัดขึ้นโดยทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้สะท้อนมุมมองเชิงบวกจากนานาชาติที่มีต่อประเทศไทย โดยผู้แทนจากสถานทูตญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และลักเซมเบิร์ก ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาค พร้อมชี้แนะแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สอดคล้องกับข้อมูล FDI ที่ชี้ว่าอาเซียนยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเทศไทย
บนเวทีเสวนา “What’s the Global View in Thailand – Shaping International Business in the Heart of ASEAN” ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค, นายคาจิวาระ โทรุ อัครราชทูตและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น กล่าวย้ำถึงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย โดยมองว่าแม้ประชากรไทยจะลดลง แต่ก็เป็นแรงผลักดันตามธรรมชาติที่ทำให้ไทยต้องหันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมไฮเทคและอุตสาหกรรมขั้นสูง รวมถึงการพัฒนาทุนมนุษย์รุ่นใหม่ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลไทย
“ผมเพิ่งมาถึงประเทศไทยได้สองเดือน แต่ผมเห็นว่าที่นี่มีโอกาสทางธุรกิจมากมาย แม้ว่าบางคนอาจมองว่าเศรษฐกิจไทยมีขนาดเล็กกว่าประเทศอื่นในเอเชีย แต่สิ่งสำคัญคือเศรษฐกิจที่เติบโตเต็มที่อย่างประเทศไทย ต้องมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีขั้นสูงและการพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูง ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาทุนมนุษย์รุ่นใหม่ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่ ผมมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่” นายคาจิวาระกล่าว
นายแซค ลอว์ตัน เลขานุการเอกด้านเทคโนโลยีและหัวหน้าฝ่ายการลงทุน สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กล่าวแสดงความยินดีกับ BOI และ True Digital Park ในความสำเร็จอีกขั้นของการส่งเสริมการเติบโตในประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสหราชอาณาจักรและไทย ซึ่งครบรอบ 170 ปีในปีนี้

นายลอว์ตันมองว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหราชอาณาจักร โดยชี้ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโตถึง 25% ต่อปี และมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ผมอาจจะลำเอียงเพราะเทคโนโลยีอยู่ในตำแหน่งงานของผม แต่ผมคิดว่านี่คืออนาคต และจากที่ผมเห็น ไทยมีศักยภาพสูงมากในด้านนี้ มีคลื่นของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเกิดขึ้นมากมาย และ True Digital Park ก็มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคนเหล่านี้ จากการที่ผมได้พูดคุยกับมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศไทย ผมมั่นใจว่าอนาคตของไทยจะสดใสในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” นายลอว์ตันกล่าว
นอกจากนี้ นายลอว์ตันยังกล่าวถึงโครงการที่สหราชอาณาจักรได้ร่วมมือกับไทยในการเปลี่ยนกระบวนการทางการค้าจากระบบเอกสารเป็นดิจิทัล ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการทำธุรกรรม ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
นายเอริค เลาเออร์ ที่ปรึกษาด้านการค้าและการลงทุน สถานเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์ก กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์ การดูแลสุขภาพ และการผลิต พร้อมแสดงความยินดีกับ BOI ที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย
นายเลาเออร์มองว่าประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์ และการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ จะช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความยืดหยุ่นและสามารถแข่งขันได้
นอกจากนี้ นายเลาเออร์ยังกล่าวถึงความร่วมมือระหว่างไทยและลักเซมเบิร์กในด้านการเงินที่ยั่งยืนและเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยยกตัวอย่างการจดทะเบียนพันธบัตรของรัฐบาลไทยในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการพัฒนาตลาดการเงินและการเติบโตอย่างยั่งยืน
แรงดึงดูด FDI ในอาเซียนและประเทศไทย:
ภูมิภาคอาเซียนยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยในปี 2567 สามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ถึง 229.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
แหล่งที่มาหลักของ FDI ในอาเซียน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (32.4%), กลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเอง (9.5%), สหภาพยุโรป (18.4%), จีน (10.8%), และฮ่องกง (7.5%) โดย FDI ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ภาคบริการ (73.6%) ตามมาด้วยภาคการผลิต (22.0%)
สำหรับประเทศไทย ในปี 2567 มี FDI ไหลเข้าประเทศรวม 4,547.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะลดลงจากปีก่อนหน้า 59.0% แต่ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากภาพรวมของอาเซียนที่สิงคโปร์ยังคงเป็นผู้นำในการดึงดูด FDI (159,630.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย (21,627.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเวียดนาม (18,500.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ประเด็นท้าทายและข้อเสนอแนะ
แม้ว่าผู้แทนจากทั้งสามประเทศจะมองเห็นโอกาสมากมายในประเทศไทย แต่ก็มีการกล่าวถึงความท้าทายบางประการที่ไทยต้องเผชิญ
นายเลาเออร์กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนของธุรกิจต่างชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสะดวกในการทำธุรกิจ ต้นทุน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความชัดเจนและประสิทธิภาพของกฎระเบียบ และแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงในหลายด้าน
นายคาจิวาระกล่าวถึงความท้าทายด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น มลพิษทางอากาศจากการผลิต การจัดการกับยานยนต์ที่หมดอายุ และการจัดการขยะ ซึ่งญี่ปุ่นมีประสบการณ์และพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
นายลอว์ตันกล่าวถึงความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญ คือการทำให้การจัดตั้งธุรกิจขององค์กรต่างชาติเป็นเรื่องง่ายขึ้น การพัฒนาบุคลากรในประเทศ และการลดขั้นตอนเอกสาร
บทสรุปและข้อความถึงประเทศไทย
ผู้แทนจากทั้งสามประเทศต่างแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย และพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายคาจิวาระกล่าวว่า “ขอให้คงความเป็นเพื่อนกับเราต่อไป และเราจะกระชับมิตรภาพให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
นายลอว์ตันกล่าวว่า “ติดต่อสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯ เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณเข้าใจตลาดสหราชอาณาจักร และกระชับความสัมพันธ์ของเรา”
นายเลาเออร์กล่าวว่า “มีความชัดเจนว่าประชาคมระหว่างประเทศมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยอย่างมาก และตอนนี้เป็นเวลาที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ และพัฒนาในอุตสาหกรรมหลัก”
#เศรษฐกิจไทย #การลงทุน #ต่างชาติ #ญี่ปุ่น #สหราชอาณาจักร #ลักเซมเบิร์ก #BOI #TrueDigitalPark #เศรษฐกิจดิจิทัล #AI #FinTech #เศรษฐกิจหมุนเวียน #ความยั่งยืน #FDI #ASEAN #GlobalViewThailand