AOC 1441 เตือนภัย! กลโกงใหม่ “โจรออนไลน์” ลวงสแกนใบหน้า

AOC 1441 เตือนภัย! กลโกงใหม่ “โจรออนไลน์” ลวงสแกนใบหน้า

ศูนย์ AOC 1441 เผยสถิติรับเรื่องร้องเรียน พบมิจฉาชีพพัฒนารูปแบบหลอกลวง ล่าสุดใช้มุกพัสดุตกค้าง ลวงเหยื่อสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน ก่อนติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องและดูดเงินเกลี้ยงบัญชี เพียงสัปดาห์เดียวเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท โฆษกดีอี ย้ำ หน่วยงานรัฐไม่มีนโยบายติดต่อผ่านโซเชียลฯ หรือให้โอนเงินตรวจสอบ วอนประชาชนยึดหลัก “4 ไม่” ป้องกันภัยไซเบอร์

นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าตกใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยออนไลน์ที่ยังคงทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลโกงรูปแบบใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพคิดค้นขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและหลอกลวงเหยื่อได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น จากรายงานล่าสุดของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center) หรือ AOC 1441 ในช่วงระหว่างวันที่ 21 – 27 เมษายน 2568 พบว่ามีเคสตัวอย่างที่น่าสนใจและเป็นอุทาหรณ์สำคัญถึง 5 คดี ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมกันสูงถึง 15,719,904 บาท

หนึ่งในกลโกงที่น่าจับตามองและสร้างความเสียหายอย่างหนัก คือ การหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายในเคสตัวอย่างสูงถึง 3,478,347 บาท พฤติการณ์ของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ เริ่มต้นจากการส่งข้อความ SMS ไปยังเหยื่อ โดยอ้างว่ามีพัสดุตกค้างที่ไม่สามารถติดต่อผู้รับได้ และแจ้งให้กดลิงก์เพื่อดำเนินการต่อ ลิงก์ดังกล่าวจะนำไปสู่การเพิ่มเพื่อนทาง Line กับมิจฉาชีพ ซึ่งจะมีการพูดคุยสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะส่ง QR code ให้เหยื่อสแกนเพื่อติดตั้งแอปพลิเคชัน โดยอ้างว่าเป็นการดำเนินการเพื่อเคลมสินค้า หรือในบางกรณีอาจอ้างเป็นการยืนยันตัวตน ขั้นตอนสำคัญที่ทำให้เหยื่อตกหลุมพรางคือ การหลอกให้สแกนใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตนในการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าว ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุมเครื่องโทรศัพท์และเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้ หลังจากติดตั้งแอปฯ และสแกนใบหน้าเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเหยื่อก็จะได้รับข้อความแจ้งเตือนจาก Mobile Banking ว่าเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด

นอกจากการหลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงินแล้ว ยังมีรูปแบบการหลอกลวงอื่นๆ ที่สร้างความเสียหายอย่างมากเช่นกัน อาทิ คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่มีมูลค่าความเสียหายถึง 2,623,227 บาท ในเคสนี้ มิจฉาชีพติดต่อเหยื่อผ่าน Line โดยใช้ชื่อว่า “IT Cyber DR Recovery” แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถแทรกแซงตลาดหลักทรัพย์และนำเงินที่ถูกโกงไปกลับคืนมาให้ได้ จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อติดต่อกับ Line “ฝ่ายบริหารบัญชี” เพื่อพูดคุยรายละเอียด และโน้มน้าวให้โอนเงินเป็นค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าตรวจสอบเส้นทางการเงิน ค่าดำเนินการ เป็นต้น เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินไปแล้ว มิจฉาชีพก็จะบ่ายเบี่ยงเมื่อถูกถามถึงความคืบหน้า และสุดท้ายก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก

อีกรูปแบบที่ยังคงพบเห็นได้บ่อยคือ คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งในเคสตัวอย่างมีมูลค่าความเสียหาย 2,896,515 บาท มิจฉาชีพมักใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook ในการเข้าถึงเหยื่อ โดยอาจเริ่มต้นจากการเสนอของรางวัลฟรี เช่น หมอนสุขภาพ เพื่อดึงดูดความสนใจ เมื่อเหยื่อกดลิงก์เข้าไป จะถูกแจ้งว่าต้องเข้าร่วมกิจกรรมก่อนจึงจะได้รับของรางวัลฟรีนั้น ซึ่งกิจกรรมที่ว่าก็คือการชักชวนให้ลงทุนเล่นหุ้น ในช่วงแรก มิจฉาชีพจะให้เหยื่อลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยๆ และให้ผลตอบแทนจริงเพื่อสร้างความเชื่อใจ จากนั้นจะหลอกล่อให้ลงทุนเพิ่มด้วยจำนวนเงินที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเหยื่อต้องการถอนเงินลงทุนหรือกำไรออกมา มิจฉาชีพจะบ่ายเบี่ยง อ้างว่าทำรายการไม่ถูกต้อง หรือต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อแก้ไขรายการ ทำให้เหยื่อสูญเสียเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงถึง 3,104,380 บาท เหยื่อมักพบโฆษณาชักชวนทำงานเสริมผ่าน Facebook และเมื่อสนใจทักไปสอบถามรายละเอียด จะถูกดึงเข้ากลุ่ม Line รูปแบบงานส่วนใหญ่มักเป็นการยืนยันคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ โดยเหยื่อจะต้องสำรองโอนเงินค่าสินค้าเข้าไปก่อน แล้วจึงจะได้รับค่าคอมมิชชันตอบแทน ในช่วงแรกๆ เหยื่ออาจได้รับผลตอบแทนจริง ทำให้ตายใจและลงทุนเพิ่มด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น แต่สุดท้ายเมื่อต้องการถอนเงิน ก็จะไม่สามารถทำได้และติดต่อมิจฉาชีพไม่ได้อีก

สุดท้ายคือ คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) ซึ่งยังคงเป็นภัยร้ายที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยในเคสตัวอย่างมีมูลค่าความเสียหายถึง 3,617,435 บาท มิจฉาชีพจะโทรศัพท์หาเหยื่อ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่นิติกรของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (ในเคสนี้อ้างเป็น AIS) แจ้งว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรง เช่น คดีฟอกเงิน และข่มขู่ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย จากนั้นอาจมีการโอนสายไปยังผู้ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ในเคสนี้อ้างเป็น สภ.เมืองเลย) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ มิจฉาชีพจะหลอกให้เพิ่มเพื่อนทาง Line และให้ข้อมูลส่วนตัว รวมถึงเลขที่บัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินไปให้ตรวจสอบ ก็จะไม่สามารถติดต่อมิจฉาชีพได้อีก

นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวเน้นย้ำว่า “จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยหลอกลวงว่ามีพัสดุตกค้าง แล้วหลอกให้ติดตั้งแอปฯ เพื่อสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน ติดตั้งแอปฯ ดูดเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย นอกจากนี้การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของ AIS ข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน รวมถึงยังมีการหลอกลวงลงทุนต่างๆ ซึ่งพบว่ามีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท

ทั้งนี้ขอย้ำว่า หากมีการให้ยืนยันตัวตน ผ่านการสแกนใบหน้า หรือกดลิงก์ใดๆ เพื่อติดตั้งแอปฯ อย่าดำเนินการเด็ดขาด เนื่องจากเสี่ยงต่อการถูกดูดเงินหรือดึงข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ขณะเดียวกันหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ จะไม่มีการโทรติดต่อโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และจะไม่มีการให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบบัญชีแต่อย่างใด ดังนั้นหากมีการติดต่อเข้ามา ให้ประเมินว่าเป็นการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ด้านการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขอให้ผู้เสียหายตรวจสอบและติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด”

จากสถิติผลการดำเนินงานของศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 25 เมษายน 2568 พบว่ามีจำนวนสายโทรเข้าแจ้งเหตุถึง 1,660,003 สาย หรือเฉลี่ยวันละ 3,063 สาย และได้มีการระงับบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ไปแล้วถึง 620,325 บัญชี เฉลี่ยวันละ 1,241 บัญชี โดยประเภทคดีที่มีการระงับบัญชีสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (31.78%) 2. หลอกลวงหารายได้พิเศษ (23.59%) 3. หลอกลวงลงทุน (14.63%) 4. หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล (11.93%) และ 5. หลอกลวงให้กู้เงิน (7.19%)

โฆษกกระทรวงดีอี ฝากย้ำเตือนประชาชนให้ยึดหลัก “4 ไม่” เพื่อป้องกันตนเองจากภัยออนไลน์ ได้แก่ 1. ไม่กดลิงก์ ที่น่าสงสัยหรือไม่ทราบที่มา 2. ไม่เชื่อ ข้อมูลที่ได้รับง่ายๆ ควรตรวจสอบก่อน 3. ไม่รีบ ตัดสินใจหรือดำเนินการใดๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน และ 4. ไม่โอน เงินให้ใครง่ายๆ หากยังไม่แน่ใจ ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ ควรงดการกดเข้าลิงก์เว็บไซต์ ดาวน์โหลด หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่ส่งต่อมาจากช่องทางที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ กระทรวงดีอี กำลังเร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยผ่านศูนย์ AOC 1441 อย่างต่อเนื่อง

หากประชาชนท่านใดตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สามารถโทรแจ้งดำเนินการเพื่อระงับหรืออายัดบัญชีได้ทันทีที่ สายด่วน AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากต้องการแจ้งเบาะแสข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน 1111 หรือ Line ID: @antifakenewscenter และเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Related Posts