รองนายกฯ ประเสริฐ ผนึก 16 พันธมิตร ลุยแพลตฟอร์ม ‘DE-fence’ สกัดภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์

รองนายกฯ ประเสริฐ ผนึก 16 พันธมิตร ลุยแพลตฟอร์ม ‘DE-fence’ สกัดภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กรุงเทพฯ – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จับมือ กสทช., ตำรวจ, ผู้ให้บริการเครือข่าย และอีก 12 หน่วยงาน รวม 16 พันธมิตร ลงนาม MOU สนับสนุนแพลตฟอร์ม ‘DE-fence’ หรือ ‘แพลตฟอร์มกันลวง’ มุ่งป้องกันและสกัดกั้นการโทรศัพท์และส่ง SMS หลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ให้ประชาชน คาดเปิดใช้งานเวอร์ชันทดลอง 1 พฤษภาคม 2568 นี้

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานและเปิดเผยถึงความร่วมมือครั้งสำคัญในการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อสนับสนุนโครงการ “DE-fence platform” (แพลตฟอร์มกันลวง) ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นระหว่างกระทรวงดีอี, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม และหน่วยงานพันธมิตร รวมทั้งสิ้น 16 องค์กร โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ไขปัญหาการหลอกลวงประชาชนผ่านการโทรศัพท์และข้อความสั้น (SMS) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

สถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบันยังคงน่าเป็นห่วง จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 มีนาคม 2568 พบว่ามีการรับแจ้งความคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสูงถึง 5.19 แสนคดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 5.07 หมื่นล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาและการที่มิจฉาชีพยังคงพัฒนารูปแบบการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ทำให้การก่อเหตุซับซ้อนและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านช่องทางการโทรศัพท์และ SMS ซึ่งเข้าถึงประชาชนได้โดยตรง

ด้วยตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหาดังกล่าว กระทรวงดีอี, กสทช., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.), สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือแนวทางป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในการประชุมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวงขึ้น ภายใต้ชื่อ “DE-fence platform”

แพลตฟอร์ม “DE-fence” หรือ “แพลตฟอร์มกันลวง” ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการแจ้งเตือนและคัดกรองสายเรียกเข้าและข้อความสั้นที่น่าสงสัยว่าเป็นของมิจฉาชีพ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังทำหน้าที่ช่วยยืนยันหมายเลขโทรศัพท์จากหน่วยงานสำคัญ เช่น ตำรวจ หรือสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชน การทำงานของ DE-fence เป็นการบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ให้บริการโทรคมนาคม, กสทช., หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างตำรวจ และกระทรวงดีอี เพื่อให้การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และ SMS หลอกลวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของภาครัฐ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าวเน้นย้ำว่า มาตรการผ่านแพลตฟอร์ม DE-fence นี้ จะดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการอื่น ๆ ที่มีอยู่ เช่น การกำหนดให้ผู้ให้บริการส่ง SMS ที่แนบลิงก์ต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งระบบและต่ออายุทุกปี เพื่อให้สามารถระบุตัวตนผู้ส่งได้ชัดเจน รวมถึงการที่ผู้ให้บริการเครือข่ายจะต้องตรวจสอบรายละเอียดของข้อความและลิงก์ก่อนส่งไปยังผู้ใช้บริการปลายทาง

de-fence

“การคัดกรองแยกหมายเลขโทรศัพท์ ‘Blacklist’ และ ‘Whitelist’ ออกจากกัน จะเกิดขึ้นไม่ได้หากหลายภาคส่วนไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าสถาบันการเงิน ค่ายมือถือ กสทช. ตลอดจน ปปง.” นายประเสริฐกล่าว “โดยมาตรการ ‘DE-fence platform’ นี้ เป็น 1 ในหลายๆ มาตรการ ที่กำหนดขึ้นเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อเหตุหลอกลวงข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินของประชาชน ร่วมกับการบังคับใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยเชื่อว่าจะทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ”

ด้านนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) หรือ BDE กล่าวเสริมว่า ตามข้อสั่งการของรองนายกฯ ประเสริฐ ทาง สดช. ได้เร่งพัฒนา DE-fence platform เพื่อให้พร้อมใช้งานภายในกลางปี 2568 จุดเด่นสำคัญของแพลตฟอร์มนี้คือการเชื่อมต่อฐานข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลเลขหมายที่เป็นปัจจุบันที่สุด นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของตำรวจ, ปปง., ศูนย์ AOC 1441 และกระทรวงดีอี เพื่อใช้ในการแจ้งเตือนประชาชน ทำให้ผู้รับสายหรือข้อความทราบได้ทันทีว่าผู้ติดต่อเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ หรือมีความเสี่ยงระดับใด ก่อนตัดสินใจรับสายหรือเปิดอ่าน SMS แพลตฟอร์มยังสามารถตรวจสอบความผิดปกติของลิงก์ที่แนบมากับ SMS ได้หากผู้ใช้ต้องการ

ยิ่งไปกว่านั้น DE-fence ยังมีระบบรองรับการแจ้งความออนไลน์และการแจ้งอายัดบัญชีคนร้ายผ่านสายด่วน AOC 1441 พร้อมระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งานเพื่อส่งข้อมูลให้ตำรวจ การทำงานแบบเรียลไทม์ของระบบจะช่วยให้ตำรวจและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีข้อมูลในการวิเคราะห์ วางแผน และดำเนินการปราบปรามมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานหลักของ DE-fence platform คือการแบ่งสายโทรเข้าและ SMS ที่ได้รับออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. Blacklist (สีดำ): เป็นหมายเลขที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าเป็นของคนร้าย ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้บริการเลือกปิดกั้น (Block) โดยอัตโนมัติ
  2. Greylist (กลุ่มต้องสงสัย): เป็นหมายเลขที่เข้าข่ายน่าสงสัย เช่น เป็นการติดต่อจากต่างประเทศ, การโทรผ่านอินเทอร์เน็ต หรือเป็นหมายเลขที่หน่วยงานหรือประชาชนทั่วไปแจ้งว่าเป็นเบอร์ต้องสงสัย ระบบจะแสดงการแจ้งเตือนพร้อมระบุระดับความเสี่ยงให้ผู้ใช้ทราบ
  3. Whitelist (สีขาว): เป็นหมายเลขของหน่วยงานที่ลงทะเบียนถูกต้องและได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นหมายเลขที่น่าเชื่อถือ เช่น หมายเลขของหน่วยงานรัฐ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 3-4 หลัก (เช่น 1111)

ในการพัฒนา DE-fence platform ระยะแรก จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการเบอร์โทรศัพท์และ SMS เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Whitelist ที่เป็นของหน่วยงานรัฐ ซึ่งมิจฉาชีพมักแอบอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชน ในระยะต่อไป มีแผนจะขยายฐานข้อมูล Whitelist ให้ครอบคลุมหน่วยงานและบริษัทเอกชนมากขึ้น พร้อมทั้งขยายขีดความสามารถในการป้องกันและแจ้งเตือน ขณะนี้ แพลตฟอร์ม DE-fence อยู่ในระหว่างการทดสอบด้านความปลอดภัยและความสามารถในการรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก ซึ่งประเมินว่าอาจมีผู้ใช้งานประจำ (Active Users) มากกว่า 1 ล้านคน

สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจทดลองใช้งาน DE-fence platform (BETA version) จะสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ผ่านทาง Google Play Store และ Apple Store โดยใช้ชื่อค้นหาว่า “DE-fence”

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ สามารถแจ้งเบาะแสได้ทันทีผ่านสายด่วน 1111 ซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง, Line ID: @antifakenewscenter หรือทางเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

ความร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์ม DE-fence ครั้งนี้ ประกอบด้วย 16 หน่วยงานสำคัญ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กสทช., สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯ, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, สำนักงาน ปปง., สำนักงาน ก.ล.ต., กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), สกมช., สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.), บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), และบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด นับเป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังเพื่อสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์และลดความเสียหายจากภัยคอลเซ็นเตอร์ให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืน

#DEfence #แพลตฟอร์มกันลวง #กระทรวงดีอี #กสทช #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #SMSหลอกลวง #อาชญากรรมออนไลน์ #ภัยไซเบอร์ #MOU #ป้องกันภัยออนไลน์

Related Posts