กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยผลการสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 พบว่าภาพรวมอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.0 หรือระดับ Solution แล้ว โดยมีการนำเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงแพลตฟอร์มและโซลูชันดิจิทัลต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ดีป้ายังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องเร่งปรับตัวและยกระดับการใช้เทคโนโลยีให้สูงขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ท่ามกลางแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
การสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมนี้ เป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำข้อมูลพื้นฐานสำคัญ สำหรับใช้เป็นแนวทางให้แก่ภาครัฐและภาคเอกชนในการวางแผนพัฒนาและยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย การสำรวจครอบคลุม 9 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป, อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์, อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์, อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยมีการดำเนินการสำรวจตามกรอบแนวทางดังกล่าวมาแล้วในปี 2563, 2564 และครั้งล่าสุดคือปี 2567 นี้
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจล่าสุดประจำปี 2567 ว่า พบข้อมูลที่น่าสนใจคือ ประมาณ 70% ของกลุ่มตัวอย่างสถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรม มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.0: Solution ซึ่งหมายถึงการเริ่มใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น การใช้แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำงาน นับเป็นการพัฒนาขึ้นจากผลสำรวจในปี 2564 ที่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับ 1.0: Manual ซึ่งเป็นการทำงานในรูปแบบดั้งเดิมที่ยังพึ่งพาเครื่องมืออนาล็อกและกระบวนการที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก เช่น การใช้โทรศัพท์ แฟกซ์ หรือการส่งเอกสารผ่านอีเมล ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ได้เริ่มตระหนักและนำเครื่องมือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันต่างๆ เข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาลงลึกถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในแต่ละกระบวนการทำงานหลัก 5 ด้านของอุตสาหกรรมการผลิต พบว่ายังมีความแตกต่างกันอยู่ ด้านแรกคือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้งานอยู่ในระดับ 2.0 โดยกว่า 57% ของกลุ่มตัวอย่าง มีการใช้ระบบคำสั่งซื้อออนไลน์ เช่น การเปิดเว็บไซต์ของตนเองเพื่อรับคำสั่งซื้อและดำเนินการชำระเงิน นอกจากนี้ ในบางอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานสูง เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง ได้เริ่มมีการนำระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) มาใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้าและวัตถุดิบแล้ว
ด้านที่สองคือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (การออกแบบผลิตภัณฑ์) ผลสำรวจระบุว่า การใช้งานในส่วนนี้ยังคงอยู่ในระดับ 1.0 เป็นส่วนใหญ่ โดยกว่า 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมพื้นฐานในการช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น โปรแกรมประเภท Computer-Aided Design (CAD) ซึ่งเป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการวาดแบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ และสร้างแบบจำลองชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
ที่เริ่มนำระบบการจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ (Product Data Management: PDM) และระบบการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Lifecycle Management: PLM) ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นมาใช้ในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ผลิตหนังสัตว์ฯ, กระดาษและการพิมพ์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยางบางส่วน เริ่มทดลองนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) มาใช้ในการจำลองหรือสร้างโลกเสมือนในรูปแบบสามมิติ เพื่อช่วยในกระบวนการออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ
ด้านที่สาม เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต ผลสำรวจชี้ว่ายังคงอยู่ในระดับ 1.0 เป็นหลัก โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น เครื่องจักรกลอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computer Numerical Control: CNC) หรือระบบอัตโนมัติบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น การใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิต หรือการใช้ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตต่างๆ ซึ่งพบได้ในเกือบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงอุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ ที่อาจมีลักษณะกระบวนการผลิตที่แตกต่างออกไป
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำระบบประมวลผลการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบ Manufacturing Execution System (MES) หรือยานยนต์นำทางอัตโนมัติ (Automated Guided Vehicle: AGV) มาใช้ในกระบวนการผลิตบ้างแล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์
ด้านที่สี่คือ เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลสำรวจชี้ว่าการใช้งานในส่วนนี้ยังอยู่ในระดับ 1.0 เช่นกัน โดยประมาณ 70% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้วิธีการพื้นฐานอย่างอีเมลในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า และเริ่มนำระบบการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management: CRM) มาช่วยสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ พบว่าทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำรวจได้เริ่มนำระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า หรือ Customer Data Analytics มาใช้แล้ว
โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าในรูปแบบต่างๆ เช่น ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์, ข้อมูลผลลัพธ์จากการโฆษณา, ข้อมูลการใช้งานโซเชียลมีเดีย เป็นต้น จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และนำไปวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่ายและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ขณะเดียวกัน บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, และกระดาษและการพิมพ์ เริ่มมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบริการลูกค้าบ้างแล้ว เช่น การใช้ Chatbot หรือระบบตอบกลับข้อความอัตโนมัติบนโซเชียลมีเดีย
และด้านสุดท้ายคือ เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ผลสำรวจระบุว่ายังอยู่ในระดับ 1.0 โดยประมาณ 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนตามแผนกหรือฝ่าย เช่น การใช้ระบบ ERP ในการบริหารจัดการภาพรวมของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มีบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, และผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ ที่เริ่มก้าวไปสู่การใช้ระบบสารสนเทศขั้นสูงมากขึ้น เช่น การนำเครื่องมือทางธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Tools: BI) หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
ทั้งข้อมูลสารสนเทศ, ข้อมูลเทคโนโลยี, ข้อมูลการตลาด และข้อมูลทางธุรกิจอื่นๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์สถานะของธุรกิจในมิติต่างๆ และใช้ในการวางแผนการดำเนินงานล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ เช่น การทำ Big Data Analytics หรือการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มทางการตลาด, ความต้องการของลูกค้า หรือข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ
แม้ว่าผลสำรวจจะชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการในเชิงบวกและการตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรม โดยมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการมุ่งหน้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่าง ระดับ 3.0: Platform และ ระดับ 4.0: Automation ซึ่งหมายถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการและวางแผนที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างจริงจัง
แต่ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคสำคัญหลายประการที่ขัดขวางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การขาดความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล, การขาดแคลนบุคลากรและแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็น, ปัญหาการขาดแคลนเงินทุนสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และข้อจำกัดของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก (SMEs) ที่อาจยังไม่พร้อมหรือไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน
ผศ.ดร.ณัฐพล ได้ให้ทรรศนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ว่า “ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน แม้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่จัดโดย UNIDO แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังครองอันดับที่สาม รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่หากไม่เร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ ทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร และการส่งเสริมการทำ Digital Transformation โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพการผลิตสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)” คำกล่าวนี้เป็นการตอกย้ำถึงความเร่งด่วนและความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย
นอกเหนือจากการแถลงผลสำรวจแล้ว ภายในงานยังมีการประกาศความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำข้อมูลและส่งเสริมสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมของไทยอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ยังได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Data-driven Industry: ผนึกกำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย” โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานสำคัญต่างๆ อาทิ นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, นางอภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), นายอมฤต ฟรานเซน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาค UNIDO และ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย
สำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 รวมถึงผลสำรวจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัลในมิติต่างๆ ที่ ดีป้า ได้ดำเนินการ สามารถดาวน์โหลดเอกสารและข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.depa.or.th/th/depakm/digital-indicators หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทาง LINE OA: depaThailand และ Facebook Page: depa Thailand
#เทคโนโลยีดิจิทัล #อุตสาหกรรมไทย #ดีป้า #UNIDO #DigitalTransformation #เศรษฐกิจดิจิทัล #Industry40 #SMEs #ผลสำรวจ #เศรษฐกิจไทย