depa เร่งเครื่อง ‘PromptTrade’ ฝ่าวิกฤตดิจิทัลไทยดีเลย์ หวั่นเสียโอกาส

depa เร่งเครื่อง ‘PromptTrade’ ฝ่าวิกฤตดิจิทัลไทยดีเลย์ หวั่นเสียโอกาส

ผู้อำนวยการใหญ่ depa ยอมรับเป้าหมายดิจิทัลไทยระดับ 3.0 ภายในปี 68 ส่อเค้าล่าช้า ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.0 ชี้พิษโควิด-สภาพคล่อง-การย้ายฐานผลิต ฉุดรั้งการลงทุน SMEs จี้ปลดล็อกอุปสรรคทางการค้า เร่งเครื่อง “PromptTrade” สร้างแต้มต่อสู้คู่แข่ง หวังดึงลงทุน-กระตุ้นเศรษฐกิจ ชู “dSure” คุมเข้มมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ-เอกชน ป้องกันการถูกหลอกลวง-ทุจริต วอนทุกภาคส่วนร่วมมือฝ่าวิกฤต หวั่นไทยตกขบวนการค้าโลก

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สถานการณ์การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ของประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อเป้าหมายที่เคยวางไว้ในการยกระดับประเทศสู่ระดับ 3.0 ภายในปี พ.ศ. 2568 กลับส่อเค้าความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับ 2.0 เท่านั้น ท่ามกลางปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ และความไม่แน่นอนจากการแข่งขันและการย้ายฐานการผลิต ส่งผลให้การลงทุนด้านดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน เกิดการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด

ผศ.ดร. ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เปิดเผยถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า “การพัฒนาดิจิทัลไทยที่เราประเมินไว้ในปี 64 จนตอนนี้จะถึงปี 68 แล้ว ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราควรจะต้องอยู่ในระดับของ 3.0 แต่วันนี้เรามาอยู่ที่ระดับ 2.0 แสดงว่าเราดีเลย์”

ผศ.ดร. ณัฐพล ชี้แจงถึงสาเหตุหลักของความล่าช้านี้ว่า เกิดจากปัจจัยซับซ้อนหลายประการ ประการแรกคือ ผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลต่อธุรกิจในวงกว้าง ประการที่สอง เมื่อผู้ประกอบการประสบปัญหาจากโควิด ทำให้สภาพคล่องทางการเงินลดลง การตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จึงเป็นไปได้ยาก และประการสุดท้ายคือ การแข่งขันในระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความลังเลในหมู่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมเหล่านั้น

“ยกตัวอย่างที่กลุ่มอุตสาหกรรม ก็พูดว่า หากลงทุนไปแล้ว มีการย้ายฐาน การลงทุนไปนั้นก็เสียเปล่า เขาก็เลยชะลอไว้ก่อน เลยยังไม่ลงทุน มันเลยทำให้การทรานส์ฟอร์ม กลุ่มอุตสาหกรรม ที่เป็นขนาด M หรือ S ที่อยู่ใน supply chain มันคล้อยตามกับตัว FDI ขนาดใหญ่ อันนี้คือประเด็นสำคัญเลย” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าวเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงและความเปราะบางของ SMEs ต่อการตัดสินใจของทุนต่างชาติขนาดใหญ่

เร่งเครื่อง “PromptTrade” ปลดล็อกการค้าดิจิทัล สร้างแต้มต่อประเทศไทย

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว depa กำลังเร่งผลักดันโครงการสำคัญที่จะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นั่นคือ “PromptTrade” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเข้ามาปฏิวัติกระบวนการนำเข้า-ส่งออกของไทยให้มีความสะดวก รวดเร็ว และลดความซับซ้อนของเอกสารลงอย่างมาก

ผศ.ดร. ณัฐพล ชี้ว่า การจะพลิกฟื้นสถานการณ์และมุ่งสู่เป้าหมาย 3.0 ได้นั้น จำเป็นต้องทำสองสิ่งควบคู่กัน คือ การรักษาฐานการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่เดิมไว้ และการดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งอุปสรรคสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติมักสะท้อนคือ ความยุ่งยากในการดำเนินธุรกรรมทางการค้าในประเทศไทย

“สิ่ง ที่เขาจะเข้ามา เขามีคำถามว่า มาเมืองไทย มันค้าขายยากจัง เอ่อ ติดนู่น ติดนี่ ติดนั่น” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าว พร้อมชี้ว่า นี่คือช่องว่างที่ PromptTrade จะเข้ามาเติมเต็ม อย่างไรก็ตาม การพัฒนานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและกำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศเพื่อนบ้าน “เวียดนาม ก็กระตือรือร้นที่จะชูมือว่าจะทำ ด้านมาเลเซีย ก็บอกว่า ฉันก็เป็น second… English language speaking เหมือนกัน ฉันก็จะทำ ขณะที่ สิงคโปร์ ก็เป็น ทั้งๆ ที่เมืองไทยมีคนที่เก่งมากมาย มีทั้งสมาคมธนาคาร และ ITX (บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด)”

แม้ประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและบุคลากร แต่การขาดการประสานงานและบูรณาการในอดีต ทำให้โครงการลักษณะนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ depa ได้ตัดสินใจเข้ามามีบทบาทเป็นแกนกลางในการประสานงานอย่างเต็มตัว โดยได้เริ่มหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักแล้ว ทั้งสมาคมธนาคารไทย, ITMX, กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์, ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.)

แนวทางการทำงานคือ depa จะรับผิดชอบในการออกแบบและพัฒนาระบบหลังบ้าน (Backend System) ที่เชื่อมโยงข้อมูลการค้าดิจิทัล ขณะที่ กพร. ซึ่งมีอำนาจในการประสานงานและสั่งการ จะช่วยผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร, กรมโรงงานอุตสาหกรรม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต อนุมัติ ตรวจสอบ ในกระบวนการนำเข้า-ส่งออก ปรับปรุงกระบวนการทำงานและเปิดระบบให้สามารถเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับแพลตฟอร์ม PromptTrade ได้อย่างราบรื่น

“ถ้าเมืองไทยเปิดตรงนี้ได้ การทรานส์ฟอร์ม 3.0 มันจะเร็วขึ้น เพราะทุกคนพร้อมที่จะมีเงิน จากการขายของได้” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าวถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง พร้อมยืนยันว่า PromptTrade ไม่ใช่การสร้างระบบซ้ำซ้อนกับ National Single Window (NSW) ที่มีอยู่เดิม แต่เป็น “ส่วนหนึ่ง (Subset)” ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการนำเข้า-ส่งออกภายในกรอบของ NSW ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นและประสานความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากโครงการ PromptPay ที่ผู้เกี่ยวข้องหลักคือภาคธนาคารภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย “ก่อนจะมาถึงตรงการส่งออก มันมีหลายปาร์ตี้ หลากหลายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งต้องใช้เวลา ดูมันอาจจะง่าย แต่ต้องใช้ความพยายามแล้วก็พลังสูงมาก แต่ถ้าทำสำเร็จมันก็จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่เมืองไทยควรจะต้องมีเมื่อ 8 ปี ก่อน” ผศ.ดร. ณัฐพล ยอมรับ

“dSure” กลไกสร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นดิจิทัล

นอกเหนือจากการปลดล็อกอุปสรรคทางการค้าแล้ว อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ depa ผลักดันคือ โครงการ “depa Digital Sure” หรือ “dSure” ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการดิจิทัลที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจาก depa เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองแล้ว 168 ราย และมีสินค้า/บริการดิจิทัลในบัญชีกว่า 600 รายการ

กระบวนการตรวจสอบมาตรฐานของ dSure ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ความปลอดภัย (Safety) ตามมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) 2) ประสิทธิภาพการทำงาน (Functionality) ทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ (Lab) ของมหาวิทยาลัยและเอกชนที่ได้มาตรฐาน ISO และ 3) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Security) ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัด เนื่องจากมี Lab ที่สามารถทดสอบได้อย่างครอบคลุมเพียง 2 แห่ง คือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช.

ผศ.ดร. ณัฐพล แสดงความกังวลต่อปัญหาการขาดแคลน Lab ทดสอบด้าน Security และได้พยายามผลักดันให้เกิดการสนับสนุนงบประมาณแก่มหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เพื่อพัฒนา Lab ดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ และสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญไปพร้อมกัน “ผมไม่ ได้มาขอเงินมาให้ดีป้านะ ผมขอเงินให้คุณไปพัฒนา Security Lab หน่อยได้มั้ย มันจะได้พัฒนาภาคสินค้าอุตสาหกรรมไปด้วย” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าว

พร้อมกันนี้ ผศ.ดร. ณัฐพล ได้ปฏิเสธข้อกังวลที่ว่า dSure อาจเป็นการเอื้อประโยชน์หรือ “ล็อกสเปก” ให้กับผู้ประกอบการบางราย โดยยืนยันว่า dSure เปิดกว้างสำหรับทุกรายที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และทำหน้าที่เพียงกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำและช่วงราคาที่เหมาะสมสำหรับบริการพื้นฐาน เช่น บริการ Cloud ซึ่งมีผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลกและของไทยอยู่ในบัญชีหลายราย ให้ผู้ใช้งานเป็นผู้เลือกเอง ส่วนบริการเสริมหรือโซลูชันเฉพาะทางที่พ่วงมานั้น จะต้องแข่งขันกันด้วยราคาและคุณสมบัติทางเทคนิคตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างปกติ

“เราคิดว่าไม่เป็นการผูกขาดตลาดเลย แต่เราช่วยให้ผู้บริโภคได้รับมาตรฐานในราคาที่ไม่โดนหลอก แล้วก็ช่วยให้รัฐ ไม่โดนหลอก แล้วประเด็นสำคัญ คือ การโกง มันก็จะน้อยลง” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ IoT ที่เคยมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัว ซึ่ง dSure จะเข้ามาช่วยสร้างความโปร่งใสและควบคุมราคาให้สมเหตุสมผลมากขึ้น นอกจากนี้ dSure ยังทำงานร่วมกับโครงการ ISP (Improving Service Provider) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ทำให้ SMEs ที่ใช้บริการที่อยู่ในลิสต์ dSure สามารถขอรับการสนับสนุนจาก สสว. ได้อีกทางหนึ่ง เป็นการเพิ่มประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ

วอนรัฐ-เอกชน ผนึกกำลังฝ่าวิกฤต หวั่นไทยตกขบวนดิจิทัลโลก

แม้ dSure จะมีประโยชน์อย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันการนำรายชื่อสินค้า/บริการในบัญชี dSure ไปใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐยังคงเป็นไปในลักษณะ “สมัครใจ” ซึ่ง ผศ.ดร. ณัฐพล ยอมรับว่าอยากเห็นการบังคับใช้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจถึงข้อจำกัดและเสียงคัดค้าน “เรา ไม่ได้ใช้เป็นเชิงบังคับ เราใช้เป็นเชิงสมัครใจ คิดดีคิดชั่ว อยู่ที่ใจ ตัวเอง ถ้ามันขัดจากมาตรฐาน มันก็คิดดีคิดชั่ว ถ้าเห็นอยู่แล้วว่าราคามาตรฐานแค่ 5,000 แต่รัฐกลับต้องจ่าย 200,000 นี่ก็ไม่น่าคิดดีแล้ว” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าวติดตลก แต่แฝงด้วยความนัยถึงความจำเป็นในการสร้างกลไกที่รัดกุมยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด ผู้อำนวยการใหญ่ depa ได้ย้ำถึงความเร่งด่วนในการที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าและการสร้างมาตรฐาน เนื่องจากประเทศคู่แข่งกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีความได้เปรียบในหลายด้าน

“สิงคโปร์ เค้าเริ่มก่อน แล้วทำงานให้ complete ส่วนมาเลเซีย ใช้การ copy development พอ copy ปุ๊บ development มันเร็วมาก แล้วความได้เปรียบของการเป็น native speaking ด้วย…เราเสียเปรียบ” ผศ.ดร. ณัฐพล กล่าว พร้อมแสดงความกังวลว่า หากประเทศไทยยังคงล่าช้าและขาดความร่วมมือ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่สำคัญไปให้กับประเทศอื่นในภูมิภาค “เราเป็นประเทศที่คิดขึ้นมาก่อน แล้วเราจะแพ้เค้าหรือ มันเป็นไปไม่ได้ เราคิดมาก่อนแต่กลับช้าเอง ผมไม่รู้ว่าช้าเป็นเพราะอะไรนะ แต่มันช้าโดยการที่เราไม่ร่วมมือกัน แล้วก็รัฐเองครั้งนี้ก็อาจจะต้องมานั่งปรึกษากัน ไม่งั้นเราจะตายทั้งองคาพยพ ทั้งรัฐและเอกชน มัน ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งนะ แต่มันต้องช่วยกันทำงาน”

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจึงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ ความกล้าหาญในการตัดสินใจ และที่สำคัญที่สุดคือ ความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและคว้าโอกาสในยุคดิจิทัลให้สำเร็จ

#เศรษฐกิจดิจิทัล #depa #ดีป้า #PromptTrade #dSure #DigitalTransformation #ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน #ประเทศไทย #การค้าดิจิทัล #มาตรฐานดิจิทัล #SME #ส่งออก #นำเข้า #กพร #สสว

Related Posts