งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ปิดฉากสวยงาม ยอดจองรถยนต์รวมพุ่งกระฉูดกว่า 77,379 คัน เติบโตเกือบ 45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนกำลังซื้อที่ยังแข็งแกร่งและความสนใจในยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด BYD ผงาดคว้าแชมป์ยอดจองสูงสุด ตามด้วย Toyota และ GAC AION ตอกย้ำกระแสความแรงของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เข้ามาครองส่วนแบ่งตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปิดฉากลงไปอย่างยิ่งใหญ่สำหรับงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” (Bangkok International Motor Show 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยตลอดระยะเวลา 14 วันของการจัดงาน ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างล้นหลาม สะท้อนผ่านตัวเลขยอดจองรถยนต์ภายในงานที่สร้างสถิติใหม่ได้อย่างน่าประทับใจ
ข้อมูลสรุปยอดจองรถยนต์ เผยให้เห็นตัวเลขรวมที่สูงถึง 77,379 คัน นับเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 44.8% เมื่อเทียบกับยอดจองในงานมอเตอร์โชว์ครั้งก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการจัดงานในปีนี้ แต่ยังเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังฟื้นตัว และปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคของยานยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในครั้งนี้
เมื่อพิจารณาถึงแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดภายในงาน พบว่า BYD (บีวายดี) ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากประเทศจีน สามารถครองตำแหน่งแชมป์ยอดจองสูงสุดไปได้อย่างงดงาม ด้วยตัวเลขสูงถึง 10,353 คัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าถึงง่าย
อันดับที่สอง ตกเป็นของ Toyota (โตโยต้า) เจ้าตลาดรถยนต์ที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานและฐานลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอดจองรวม 9,615 คัน แม้จะเสียตำแหน่งแชมป์ให้กับ BYD แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ยังถือว่าสูงมาก แสดงให้เห็นว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) ของโตโยต้ายังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่น ทั้งในด้านคุณภาพ ความทนทาน และบริการหลังการขาย
ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคืออันดับที่สาม ซึ่ง GAC AION (จีเอซี ไอออน) อีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าดาวรุ่งจากจีน สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยยอดจอง 7,018 คัน การก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและความสนใจที่ผู้บริโภคชาวไทยมีต่อแบรนด์รถยนต์ทางเลือกใหม่ๆ ที่นำเสนอเทคโนโลยีและดีไซน์ที่น่าสนใจในราคาที่แข่งขันได้
ความร้อนแรงของแบรนด์รถยนต์จากจีนยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในอันดับที่สี่ Deepal (ดีพอล) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในเครือ Changan (ฉางอัน) ก็สามารถทำยอดจองไปได้สูงถึง 6,589 คัน การเข้ามาติดกลุ่ม Top 5 ได้สำเร็จ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและการทำตลาดที่แข็งแกร่งของ Deepal ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ไม่นานนัก แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ขณะที่อันดับห้าและหก เป็นการขับเคี่ยวกันอย่างสูสีระหว่าง Honda (ฮอนด้า) และ MG (เอ็มจี) โดย Honda ทำยอดจองไปได้ 5,948 คัน เฉือนเอาชนะ MG ที่ทำได้ 5,910 คันไปเพียงเล็กน้อย Honda ยังคงรักษาฐานลูกค้าได้ดีจากกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและ SUV ที่ได้รับความนิยม ส่วน MG ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกครึ่งอังกฤษ-จีน ก็ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและ SUV ที่มีราคาเข้าถึงง่ายและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน
อันดับที่เจ็ดตกเป็นของ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) อีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่จากจีนที่ขนทัพรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดหลากหลายรุ่นมาจัดแสดง ทำยอดจองไปได้ 4,959 คัน ตามมาด้วย Mitsubishi (มิตซูบิชิ) ในอันดับที่แปด ด้วยยอดจอง 4,398 คัน ซึ่งยังคงแข็งแกร่งในตลาดรถกระบะและ PPV
Nissan (นิสสัน) อยู่ในอันดับที่เก้าด้วยยอดจอง 3,139 คัน และ Isuzu (อีซูซุ) เจ้าพ่อตลาดรถกระบะ อยู่ในอันดับที่สิบ ด้วยยอดจอง 2,989 คัน แม้ว่ายอดจองของ Isuzu อาจดูไม่สูงเท่าคู่แข่งรายอื่นเมื่อเทียบกับส่วนแบ่งตลาดรวม แต่ก็ถือเป็นปกติสำหรับแบรนด์ที่เน้นหนักในตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งอาจมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างจากงานมอเตอร์โชว์ที่เน้นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นหลัก
ที่น่าสนใจคือการเข้ามาติดอันดับที่ 11 ของ OMODA & JAECOO (โอโมดา แอนด์ เจคู) แบรนด์ใหม่ล่าสุดในเครือ Chery (เฌอรี่) จากประเทศจีน ที่เพิ่งเปิดตัวทำตลาดในไทยได้ไม่นาน แต่สามารถสร้างยอดจองรวมกันได้ถึง 2,568 คัน ถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและการเปิดรับแบรนด์ใหม่ๆ ของผู้บริโภคชาวไทย
ในกลุ่มกลางตาราง Mazda (มาสด้า) ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ ทำยอดจองไปได้ 2,353 คัน (อันดับ 12) ตามมาด้วยแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่จากจีนอีกระลอก ทั้ง XPENG (เอ็กซ์เผิง) ที่ทำได้ 1,399 คัน (อันดับ 13), NETA (เนต้า) 1,219 คัน (อันดับ 14) และ ZEEKR (ซีคเกอร์) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในเครือ Geely (จีลี่) ที่ทำยอดจองได้น่าประทับใจถึง 1,196 คัน (อันดับ 15) แม้จะเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานนี้ก็ตาม
Suzuki (ซูซูกิ) ครองอันดับ 16 ด้วยยอดจอง 1,023 คัน ตามด้วย GEELY (จีลี่) แบรนด์แม่ของ ZEEKR และ Volvo ซึ่งเข้ามาทำตลาดด้วยตนเองในครั้งนี้ ทำยอดจองไป 1,018 คัน (อันดับ 17) และ Ford (ฟอร์ด) ที่ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มรถกระบะและ SUV ทำยอดจองไป 1,001 คัน (อันดับ 18)
ในกลุ่มรถยนต์หรู Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ยังคงนำมาเป็นอันดับหนึ่งในเซกเมนต์นี้ ด้วยยอดจอง 870 คัน (อันดับ 19) ตามมาด้วย BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ที่ 630 คัน (อันดับ 21) ส่วนแบรนด์หรูอื่นๆ เช่น Volvo ทำได้ 366 คัน (อันดับ 24), MINI 202 คัน (อันดับ 25), Audi 128 คัน (อันดับ 26), Lexus 84 คัน (อันดับ 28) และ Porsche 75 คัน (อันดับ 29)
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่น่าสนใจและเข้าร่วมสร้างสีสันภายในงาน เช่น RIDDARA แบรนด์รถกระบะไฟฟ้าฝีมือคนไทย ทำยอดจองได้ 671 คัน (อันดับ 20), Hyundai จากเกาหลีใต้ 582 คัน (อันดับ 22), KIA จากเกาหลีใต้อีกแบรนด์ 507 คัน (อันดับ 23), Juneyao แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นดีไซน์หรูจากจีน 128 คัน (อันดับ 27), Peugeot 28 คัน (อันดับ 30), Jeep 16 คัน (อันดับ 31), Maserati 12 คัน (อันดับ 32), Aston Martin 4 คัน (อันดับ 33) และ Rolls-Royce 4 คัน (อันดับ 33) รวมถึงแบรนด์อื่นๆ ที่มียอดจองรวมกันอีก 377 คัน
บทสรุปและแนวโน้ม:
ตัวเลขยอดจองรถยนต์จากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้อย่างชัดเจน ประเด็นสำคัญที่เห็นได้ชัดคือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ ความตื่นตัวของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีใหม่ และการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและแข่งขันด้านราคาได้อย่างดุเดือด
การที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสามารถก้าวขึ้นมายึดครองตำแหน่งในกลุ่มผู้นำยอดจองได้ถึง 3 จาก 4 อันดับแรก (BYD, GAC AION, Deepal) และมีแบรนด์จีนอื่นๆ ติดอันดับใน Top 20 อีกหลายแบรนด์ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าภูมิทัศน์ของตลาดรถยนต์ไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นดั้งเดิมทั้งจากญี่ปุ่นและยุโรปจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แบรนด์เจ้าตลาดเดิมอย่าง Toyota และ Honda ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและฐานลูกค้าที่มั่นคง ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งยังคงให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ประสบการณ์ที่ยาวนาน และเครือข่ายการบริการที่ครอบคลุม
การเติบโตของยอดจองรวมที่สูงถึง 44.8% ยังเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงมีอยู่ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็ตาม งานมอเตอร์โชว์ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นตลาดและสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงต้นปีได้เป็นอย่างดี
มองไปข้างหน้า คาดว่าการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไทย โดยเฉพาะในเซกเมนต์รถยนต์ไฟฟ้า จะยังคงดุเดือดต่อไป ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในด้านแบรนด์ รุ่นรถยนต์ เทคโนโลยี และระดับราคา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยตรง ขณะที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านเทคโนโลยี การผลิต บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนในยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า
#BIMS2025 #MotorShow2025 #มอเตอร์โชว์2025 #BangkokMotorShow #ยอดจองรถยนต์ #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #BYD #Toyota #GACAION #Deepal #รถใหม่ #ข่าวรถยนต์ #เศรษฐกิจ #อุตสาหกรรมยานยนต์