กสทช. จ่อออกประกาศคุมเข้ม “ซิมบ็อกซ์” ฝ่าฝืนโทษหนักคุก 5 ปี ปรับแสน

กสทช. จ่อออกประกาศคุมเข้ม “ซิมบ็อกซ์” ฝ่าฝืนโทษหนักคุก 5 ปี ปรับแสน

กสทช. เอาจริง! เห็นชอบร่างประกาศฯ ใหม่ คุมกำเนิด “ซิมบ็อกซ์” อุปกรณ์หากินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กำหนดผู้ถือครอง-นำเข้า-ค้า อุปกรณ์รองรับ 4 ซิมขึ้นไปต้องขออนุญาต หวังปิดช่องโหว่สกัดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฝ่าฝืนเจอโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท เร่งรับฟังความเห็นสาธารณะก่อนบังคับใช้

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – คณะกรรมการ กสทช. มีมติเอกฉันท์ เห็นชอบให้นำร่างประกาศฉบับใหม่เกี่ยวกับการควบคุมเครื่อง “ซิมบ็อกซ์” (SIM BOX) ไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เตรียมยกเลิกข้อยกเว้นเดิม กำหนดให้การ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า อุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ที่รองรับตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไป ต้องได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น หวังสร้างฐานข้อมูล ตรวจสอบ ป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการหลอกลวงประชาชน ชี้หากฝ่าฝืนมีโทษหนักตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคมฯ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ด้านผู้ถือครองเดิมต้องยื่นขอใบอนุญาตภายใน 90 วันหลังกฎหมายมีผล

นับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในการต่อสู้กับภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติสำคัญในการเดินหน้าแก้ไขกฎระเบียบเพื่อสกัดกั้นการใช้เครื่องมือสำคัญของมิจฉาชีพเหล่านี้

พลตำรวจเอก ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้นำ “(ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง เครื่องวิทยุคมนาคม และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 (ฉบับที่ 3)” ไปดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public Hearing) ก่อนนำกลับมาพิจารณาเพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป

สาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในร่างประกาศฯ ฉบับนี้ คือการยกเลิกหลักเกณฑ์เดิมที่เคยกำหนดให้เครื่อง “ซิมบ็อกซ์” (SIM BOX) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้จำนวนมากพร้อมกัน และผ่านการตรวจสอบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสำนักงาน กสทช. แล้ว ได้รับการยกเว้น ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตในการ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเป็นช่องว่างที่กลุ่มมิจฉาชีพ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ฉวยโอกาสนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปใช้ในการก่ออาชญากรรม ด้วยการโทรศัพท์หลอกลวงประชาชนจากต่างประเทศ หรือซ่อนพิกัดการใช้งานจริง ทำให้ยากต่อการติดตามจับกุม

ภายใต้ร่างประกาศฯ ใหม่นี้ กำหนดให้หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ผู้ใดก็ตามที่มีความประสงค์จะ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเครื่องซิมบ็อกซ์ ที่มีความสามารถในการรองรับจำนวนซิมการ์ด (SIM) ตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไป จำเป็นต้องยื่นขอและได้รับใบอนุญาตจากทางสำนักงาน กสทช. ก่อนดำเนินการเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตให้มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม หรือใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม แล้วแต่กรณี

ซิมบ็อกซ์

พลตำรวจเอก ณัฐธร กล่าวเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์หลักของการปรับปรุงกฎเกณฑ์ครั้งนี้ว่า “เราต้องการคุมซิมบ็อกซ์ให้เหมือนซิมมือถือ เพื่อให้สามารถรู้พิกัดการใช้งานเครื่องซิมบ็อกซ์” การกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตนี้ จะทำให้ กสทช. สามารถจัดทำฐานข้อมูลของผู้ที่ครอบครองและใช้งานซิมบ็อกซ์ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบการเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายโทรคมนาคมของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างๆ ช่วยให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“เรื่องนี้ได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. เร่งนำไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ แล้วนำเข้าเสนอ กสทช. อีกครั้ง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ให้เร็วที่สุด เพื่อปิดโอกาสแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะนำซิมบ็อกซ์ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญไปใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชน” พลตำรวจเอก ณัฐธร กล่าวเสริม ถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด

สำหรับบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศฯ ฉบับใหม่นี้ จะถือเป็นความผิดตามมาตรา 6 วรรคสอง และมาตรา 11 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 โดยกำหนดโทษไว้อย่างชัดเจน คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรง สะท้อนเจตนารมณ์ในการปราบปรามการกระทำผิดอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ร่างประกาศฯ ยังคำนึงถึงผู้ที่ถือครองซิมบ็อกซ์ประเภทที่ต้องขออนุญาต (รองรับ 4 ซิมขึ้นไป) อยู่ในปัจจุบันก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ โดยกำหนดให้บุคคลหรือนิติบุคคลดังกล่าว ต้องดำเนินการยื่นขอรับใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่ ภายในระยะเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างเรียบร้อย และให้ผู้ครอบครองเดิมได้ปรับตัวเข้าสู่ระบบการกำกับดูแลใหม่

การผลักดันการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบคุมซิมบ็อกซ์ครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่สำคัญของ กสทช. ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ที่ต้นทาง หลังจากที่ผ่านมาได้มีความพยายามในหลายด้าน ทั้งการประสานงานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการระงับเบอร์ต้องสงสัย การให้ความรู้ประชาชน และการร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งการควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือหลักของคนร้ายอย่างซิมบ็อกซ์นี้ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานและตัดวงจรของขบวนการเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญยิ่งขึ้น

คาดว่าหลังจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเสร็จสิ้น สำนักงาน กสทช. จะรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ นำมาปรับปรุงร่างประกาศฯ ก่อนเสนอให้คณะกรรมการ กสทช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในขั้นตอนสุดท้าย และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างความปลอดภัยในระบบโทรคมนาคมและปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์

#กสทช #ซิมบ็อกซ์ #SIMBOX #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมออนไลน์ #กฎหมายวิทยุคมนาคม #ปราบปรามอาชญากรรม #คอลเซ็นเตอร์ #หลอกลวงออนไลน์ #พลตำรวจเอกณัฐธร #ข่าวเศรษฐกิจ #โทรคมนาคม #คุ้มครองผู้บริโภค

Related Posts