เนสท์เล่ ประเทศไทย ประกาศข่าวดี เนสกาแฟกลับมาดำเนินธุรกิจและวางจำหน่ายสินค้าได้ตามปกติแล้ว หลังศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำสั่งยืนยันสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” ในไทย คำสั่งใหม่นี้มีผลทันที ช่วยคลายกังวลให้ผู้บริโภคและยุติผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าปลีก ซัพพลายเออร์ และพนักงานในห่วงโซ่ธุรกิจ ที่เกิดขึ้นจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนหน้านี้ของศาลแพ่งมีนบุรี
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นับเป็นข่าวที่สร้างความโล่งใจให้กับคอกาแฟและผู้เกี่ยวข้องในวงจรธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทย เมื่อ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เนสกาแฟ ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในวันนี้ว่า บริษัทฯ สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้อย่างเต็มรูปแบบตามปกติแล้ว ซึ่งรวมถึงการรับคำสั่งซื้อและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทุกชนิดสู่มือผู้บริโภคทั่วประเทศ
การกลับมาอย่างสมบูรณ์ของเนสกาแฟในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสั่งล่าสุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ซึ่งมีคำสั่งเมื่อวันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของคำสั่งศาลฯ คือการยืนยันอย่างชัดเจนว่า บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้ถือสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ที่จะใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ “Nescafé” ในภาษาอังกฤษ และ “เนสกาแฟ” ในภาษาไทย กับกลุ่มสินค้าที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ฉบับนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 เป็นต้นไป ทำให้สถานการณ์ที่เคยหยุดชะงักไปก่อนหน้านี้คลี่คลายลง โดยทางเนสท์เล่ได้ดำเนินการแจ้งข่าวดีนี้ไปยังลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจทุกรายให้ทราบโดยทั่วกันแล้วว่า บัดนี้ บริษัทฯ พร้อมกลับมารับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตามปกติอย่างไม่มีข้อจำกัดใด ๆ อีกต่อไป
ทางเนสท์เล่ได้แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางในครั้งนี้ โดยระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันสิทธิ์อันชอบธรรมของบริษัทฯ เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยบรรเทาและหยุดยั้งผลกระทบในวงกว้างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมากในระบบนิเวศทางธุรกิจของเนสกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ คู่ค้าที่เป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบและบริการต่าง ๆ ตลอดจนพนักงานจำนวนมากที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของเนสกาแฟ
ผลกระทบที่กล่าวถึงนี้ เป็นผลพวงมาจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา ที่ออกโดยศาลแพ่งมีนบุรี เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ในแถลงการณ์จะไม่ได้ระบุรายละเอียดของคำสั่งเดิม แต่เป็นที่เข้าใจว่าคำสั่งดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดการระงับหรือจำกัดการดำเนินธุรกิจของเนสกาแฟชั่วคราว ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เนสท์เล่ระบุว่า หลังจากมีการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยศาลแพ่งมีนบุรี บริษัทฯ ได้พยายามดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้มีคำสั่งยืนยันสิทธิ์ ทำให้บริษัทฯ สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติในที่สุด
นอกเหนือจากผลดีต่อภาคธุรกิจแล้ว คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ล่าสุดนี้ ยังถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ที่จะสามารถหาซื้อและบริโภคผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทุกรสชาติ ทุกรูปแบบ ที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงักอีกต่อไป ขจัดความกังวลเรื่องสินค้าขาดตลาดหรือหาซื้อยากที่อาจเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้
ในแถลงการณ์ฉบับเดียวกันนี้ เนสท์เล่ยังได้ตอกย้ำจุดยืนในการดำเนินธุรกิจ โดยยืนยันว่าบริษัทฯ เคารพกฎหมายไทยเสมอมา และได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญากับ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และบริษัทฯ มีหลักฐานที่สามารถยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาดังกล่าวได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ เนสท์เล่ยังได้อ้างอิงถึงข้อพิพาทก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า บริษัทฯ เคยชนะคดีที่ศาลอนุญาโตตุลาการสากลมาแล้ว ซึ่งในกระบวนการไต่สวนของศาลอนุญาโตตุลาการสากลในครั้งนั้น คุณประยุทธ มหากิจศิริ รวมถึงครอบครัว ได้แก่ คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และคุณอุษณา มหากิจศิริ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท QCP ก็ได้เข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าวด้วยตนเอง
ในช่วงท้ายของแถลงการณ์ เนสท์เล่ได้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้บริโภคชาวไทย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ที่ได้ให้การสนับสนุนเนสกาแฟด้วยดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทายที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ เนสท์เล่ยังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และจะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องต่อไปในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค พนักงานของบริษัทฯ เกษตรกรชาวไร่กาแฟที่ทำงานร่วมกับเนสท์เล่ ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจและคู่ค้าทุกรายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
สำหรับ เนสท์เล่ ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก มีการดำเนินงานครอบคลุมกว่า 185 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานรวมกันกว่า 277,000 คน บริษัทฯ มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการ “เปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต” (Unlocking the power of food to enhance quality of life for everyone, today and for generations to come) เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้คนและสัตว์เลี้ยงในทุกช่วงวัย
ด้วยแบรนด์สินค้ามากกว่า 2,000 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักระดับโลกอย่าง เนสกาแฟ, เนสเปรสโซ, ไมโล, แม็กกี้ และแบรนด์ยอดนิยมในประเทศไทย เช่น ตราหมี หรือ มิเนเร่ บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์หลักคือการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา (Good for the Planet) เนสท์เล่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 150 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเวเวย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
การกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบของเนสกาแฟในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นข่าวดีของบริษัทฯ เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณบวกต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเศรษฐกิจไทยโดยรวม ที่แบรนด์ระดับโลกยังคงเชื่อมั่นและมุ่งมั่นที่จะลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศต่อไป
#เนสกาแฟ #เนสท์เล่ #NestleThailand #Nescafé #ศาลทรัพย์สินทางปัญญา #เครื่องหมายการค้า #กาแฟ #ข่าวเศรษฐกิจ #ธุรกิจกาแฟ #การค้า #การลงทุน #ประเทศไทย #Comeback #BusinessAsUsual