ซีอีโอ Nvidia เยือนจีน ท่ามกลางแรงกดดันการค้าสหรัฐฯ

ซีอีโอ Nvidia เยือนจีน ท่ามกลางแรงกดดันการค้าสหรัฐฯ

การเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งอย่างไม่คาดฝันของ เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia เพียงไม่กี่วันหลังสหรัฐฯ ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ระลอกใหม่ กำลังส่งสัญญาณอะไร? ผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินชี้ เป็นบทเรียนราคาแพงของยุทธศาสตร์การค้าสหรัฐฯ ที่อาจกำลังผลักดันทั้งบริษัทและนานาประเทศเข้าหาอ้อมกอดจีนมากขึ้น พร้อมจับตาผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลกและสถานะของดอลลาร์สหรัฐฯ

การปรากฏตัวของ เจนเซน หวง (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Nvidia ยักษ์ใหญ่ด้านชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในแวดวงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนเพิ่มเติมอย่างกะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนธุรกิจของ Nvidia เอง

การเดินทางของหวง ซึ่งเกิดขึ้นตามคำเชิญของกลุ่มการค้าจีนที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ สั่งห้ามการส่งออกชิป Nvidia รุ่น H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯ เอง นับเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ Nvidia คาดการณ์ว่าชิปรุ่น H20 จะยังคงสามารถจำหน่ายในประเทศจีนได้ ภายหลังการหารือระหว่างเจนเซน หวง และประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

สถานการณ์ดังกล่าวได้รับการวิเคราะห์อย่างเข้มข้นจาก ไนเจล กรีน (Nigel Green) ซีอีโอของ deVere Group หนึ่งในองค์กรที่ปรึกษาทางการเงินอิสระที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมองว่าการเยือนจีนของหวงในจังหวะเวลานี้ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ายุทธศาสตร์การค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังกลายเป็น “บทเรียนชั้นครูว่าด้วยกฎแห่งผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ” (a masterclass in the law of unintended consequences)

“นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าจุดยืนทางการค้าของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน กำลังผลักดันประเทศต่างๆ และบริษัทต่างๆ ให้เข้าใกล้จีนมากขึ้น ไม่ใช่ห่างออกไป ทั้งในด้านการเงิน เศรษฐกิจ การเมือง และการทูต” ไนเจล กรีน กล่าว “นโยบายการค้าที่ก้าวร้าวและมักคาดเดาไม่ได้ของทรัมป์กำลังบั่นทอนความไว้วางใจ กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวทาง และเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระเบียบเศรษฐกิจแบบหลายขั้ว (multipolar economic order) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้สหรัฐฯ ถูกลดบทบาทลงมากขึ้นเรื่อยๆ”

ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกครั้งล่าสุดนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของ Nvidia เอง โดยบริษัทได้ออกมาเตือนว่าอาจได้รับผลกระทบต่อรายได้สูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ในจีนอย่าง Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างตกอยู่ในสถานะที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ความเสียหายทางการเงินนั้นขยายวงกว้างไปไกลกว่าแค่บริษัทเดียว

ไนเจล กรีน ชี้ให้เห็นว่า “การใช้อาวุธควบคุมการค้าและทำให้บริษัทสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ต้องประหลาดใจ (blindsiding) รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังส่งเสริมให้ผู้เล่นระดับโลกสร้างระบบคู่ขนาน (parallel systems) และกระชับความสัมพันธ์กับปักกิ่งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น” เขากล่าวเสริมว่า “เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สม่ำเสมอและจริงจัง ผู้นำทางธุรกิจกำลังตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็นจริง (pragmatic decisions) เพื่อรักษาการเข้าถึงตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากวอชิงตันหรือไม่ก็ตาม”

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ใหญ่ขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก มีการยอมรับสกุลเงินหยวนในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนมากขึ้น กลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ และประเทศสมาชิกใหม่) กำลังเพิ่มการชำระค่าสินค้าระหว่างกันนอกระบบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากขึ้น ประเทศอย่างบราซิลและซาอุดีอาระเบียได้ขยายการถือครองสกุลเงินหยวนของจีน แม้กระทั่งพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ บางประเทศก็เริ่มถอยห่างจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามแนวทางของวอชิงตัน

“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการแตกกระจายในระยะยาว (long-term fragmentation)” ซีอีโอของ deVere กล่าวต่อ “โลกไม่ได้หันหลังให้กับสหรัฐฯ เพราะอุดมการณ์ แต่กำลังทำเช่นนั้นเพราะความจำเป็น เนื่องจากทิศทางนโยบายของอเมริกาได้กลายเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และพึ่งพาได้ยากเกินไป”

สถานการณ์ของ Nvidia ตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างการแสดงออกทางการเมือง (political theatre) กับความเป็นจริงในเชิงพาณิชย์ (commercial reality) หลังจากที่บริษัทได้ทุ่มเทพัฒนาชิปที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีนเพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่กลับต้องมาพบว่าตนเองถูกกีดกันออกจากตลาดสำคัญแห่งนี้ในเวลาอันสั้น แม้จะดูเหมือนว่าเคยได้รับคำรับรองจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลแล้วก็ตาม

“นั่นไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่มันคือความไม่มั่นคง (instability)” ไนเจล กรีน กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ตลาดไม่ตอบสนองได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับภาคส่วนหลักอย่าง AI และเซมิคอนดักเตอร์ เรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่การเตือนเรื่องผลประกอบการของบริษัทเดียว แต่มันเกี่ยวกับกระแสเงินทุนทั่วโลกและความไว้วางใจในความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ”

เพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนนี้ ประเทศต่างๆ กำลังดำเนินการกระจายการถือครองเงินสำรอง ขยายเครือข่ายการชำระเงินในท้องถิ่น และทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่หลีกเลี่ยงการใช้เงินดอลลาร์โดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ ในภาคเทคโนโลยี พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ก็กำลังมีส่วนร่วมโดยตรงกับสถาบันต่างๆ ของจีนมากขึ้น แม้ว่าการทำเช่นนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงทางการเมืองในสายตาของวอชิงตันก็ตาม

การที่ เจนเซน หวง ปรากฏตัวในกรุงปักกิ่งด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่นานหลังจากที่บริษัทของเขาได้รับผลกระทบมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จากคำสั่งของทำเนียบขาว ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน

“มันไม่ใช่การท้าทาย (defiance) แต่มันคือการยอมรับความเป็นจริง (realism)” ไนเจล กรีน สรุป “ธุรกิจจะดำเนินต่อไปในที่ที่มีโอกาสและความต่อเนื่อง (continuity) ซึ่งในขณะนี้ สถานที่เหล่านั้นกำลังอยู่นอกขอบเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ”

“แนวทางปัจจุบันอาจช่วยทำคะแนนในการปราศรัยหาเสียง แต่จากมุมมองทางการเงินและการทูต มันกำลังทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอิทธิพลไปทุกวัน”

บทสรุปของสถานการณ์นี้ยังคงต้องจับตาดูกันต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ การตัดสินใจเชิงนโยบายของสหรัฐฯ กำลังส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก และภาคธุรกิจกำลังปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเยือนจีนของซีอีโอ Nvidia อาจเป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่าง แต่เป็นตัวอย่างที่ทรงพลังซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายและความซับซ้อนของการค้าระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน ที่การเมืองและธุรกิจต้องหาทางดำเนินควบคู่กันไป ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ

#Nvidia #JensenHuang #สหรัฐอเมริกา #จีน #สงครามการค้า #ชิปAI #เซมิคอนดักเตอร์ #เศรษฐกิจโลก #การค้าระหว่างประเทศ #นโยบายเศรษฐกิจ #deVereGroup #NigelGreen #หยวน #ดอลลาร์สหรัฐ #BRICS #เทคโนโลยี

Related Posts