แรนซัมแวร์ ถล่มเศรษฐกิจโลก Synology ชู ActiveProtect เกราะป้องกัน

แรนซัมแวร์ ถล่มเศรษฐกิจโลก Synology ชู ActiveProtect เกราะป้องกัน

ภัยคุกคาม แรนซัมแวร์ ทวีความรุนแรง กระทบเศรษฐกิจโลก หลัง Casio ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นถูกโจมตี กระตุ้นองค์กรเร่งหาโซลูชันปกป้องข้อมูล Synology เปิดตัว ActiveProtect อุปกรณ์สำรองข้อมูลครบวงจร ตอบโจทย์ Cyber Security และ PDPA ชูจุดแข็งด้านความปลอดภัย จัดการง่าย กู้คืนรวดเร็ว

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะ แรนซัมแวร์ ได้ยกระดับเป็นปัญหาระดับเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง กรณีศึกษาล่าสุดจากการโจมตี Casio ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรทุกขนาดต้องลงทุนในระบบสำรองและปกป้องข้อมูลที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางความท้าทายด้านทรัพยากร IT และข้อบังคับทางกฎหมายอย่าง PDPA ในประเทศไทย Synology ผู้นำด้านโซลูชันการจัดการข้อมูล เปิดตัว ActiveProtect อุปกรณ์สำรองข้อมูลแบบ All-in-one ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่โดยเฉพาะ มุ่งเสริมเกราะป้องกันทางไซเบอร์ให้องค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

โลกธุรกิจในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แรนซัมแวร์” (Ransomware) หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางเทคนิค แต่ได้ลุกลามกลายเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระดับโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Casio Computer Co., Ltd. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา (2024) ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงผลกระทบอันมหาศาลของการโจมตีทางไซเบอร์

การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้ระบบเครือข่ายของ Casio ในหลายประเทศประสบปัญหาขัดข้องเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการดำเนินงาน แต่ยังมีการยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานและลูกค้าบางส่วนถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ Casio เพียงรายเดียว แต่เป็นสถานการณ์ที่องค์กรทั่วโลกต่างกำลังเผชิญ หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้

ในยุคที่ข้อมูลถูกยกให้เป็น “สินทรัพย์” ที่มีมูลค่ามหาศาล การปกป้องข้อมูลจึงกลายเป็นวาระสำคัญสูงสุดขององค์กร อย่างไรก็ตาม การสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ของหลายองค์กรยังคงต้องต่อสู้กับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความซับซ้อนในการต้องเลือกสรร ผสานการทำงาน และจัดการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตหลายรายเพื่อให้ได้โซลูชันที่ตอบโจทย์ การรับมือกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลสำรองที่มักจะยุ่งยากและใช้เวลานาน

ผลการตรวจสอบสถานะความพร้อมขององค์กรต่างๆ พบข้อมูลที่น่ากังวลว่า มากกว่า 50% ขององค์กรทั่วโลกยังไม่มีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุหลักประการหนึ่งคือการขาดแคลนทรัพยากรด้าน IT ทั้งในแง่ของงบประมาณ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และเวลา ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการวางแผนและปรับใช้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย

สถานการณ์ในปี 2025 และแนวโน้มในอนาคต ชี้ชัดว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์จะยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน องค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญและลงมือวางแผน ดำเนินมาตรการปกป้องข้อมูลเชิงรุกอย่างจริงจังเท่านั้น จึงจะสามารถลดทอนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวได้

PDPA ในไทย กระตุ้นองค์กรทุกขนาดเร่งวางแผนป้องกันข้อมูล

นอกเหนือจากภัยคุกคามโดยตรงจากแรนซัมแวร์แล้ว บริบททางกฎหมายในแต่ละประเทศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้องค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการและปกป้องข้อมูลอย่างเข้มงวดมากขึ้น สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) ได้มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมีหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลรักษาข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความครอบครองให้ปลอดภัย

ภายใต้กฎหมาย PDPA หากหน่วยงานใดมีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อาจต้องระวางโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 1 ล้านบาท และหากเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Data) โดยผิดกฎหมาย โทษปรับอาจพุ่งสูงถึง 5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังอาจมีความรับผิดทางแพ่งและโทษทางอาญาเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

การถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ซึ่งมักนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จึงไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อระบบปฏิบัติการและการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่ยังทำให้องค์กรมีความเสี่ยงที่จะละเมิดกฎหมาย PDPA และเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรงตามมา ด้วยเหตุนี้ องค์กรในประเทศไทยทุกขนาดจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบการจัดเก็บและสำรองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง รวมถึงจัดทำแผนรับมือเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data Breach Response Plan) อย่างครอบคลุม เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ PDPA และลดความเสี่ยงทางกฎหมาย

Synology ActiveProtect: โซลูชัน All-in-One ตอบโจทย์ความท้าทายยุคดิจิทัล

ท่ามกลางความต้องการโซลูชันปกป้องข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น Synology ผู้นำด้านเทคโนโลยีการจัดเก็บและจัดการข้อมูลระดับโลก ได้เปิดตัว “ActiveProtect” อุปกรณ์สำรองข้อมูล (Backup Appliance) รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรยุคใหม่ในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะแรนซัมแวร์ อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

แรนซัมแวร์

คุณชานดา ผู้จัดการผลิตภัณฑ์สำรองข้อมูลของ Synology กล่าวว่า ActiveProtect ถูกพัฒนาขึ้นโดยมุ่งเน้นการปิดช่องโหว่สำคัญ 3 ด้าน ที่มักเป็นจุดอ่อนให้องค์กรถูกโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกัน (Cyber Resilience) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ได้แก่:

  1. การควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทหน้าที่ (Role-Based Access Control – RBAC): ActiveProtect ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลสำรองและฟังก์ชันการจัดการต่างๆ ให้กับผู้ใช้งานแต่ละคนตามบทบาทและความรับผิดชอบได้อย่างละเอียด รองรับการทำงานร่วมกับระบบยืนยันตัวตนมาตรฐานองค์กรอย่าง Windows Active Directory (AD) และ Lightweight Directory Access Protocol (LDAP) ได้อย่างราบรื่น ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการกำหนดสิทธิ์ผิดพลาด ซึ่งอาจเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้
  2. การจัดการการเข้าถึงอุปกรณ์ (Device Access Management) ผ่านการจำกัด IP Address (IP Restriction): ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น โดยอนุญาตให้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ที่มี IP Address ที่ระบุไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ที่จะสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูล (Backup Server) ของ ActiveProtect ได้ เป็นการป้องกันการโจมตีจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือการพยายามเข้าถึงระบบจากภายนอกองค์กรโดยไม่ได้รับอนุญาต
  3. การแยกทางกายภาพและการสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์ (Physical Isolation & Offline Backup): นอกเหนือจากการปฏิบัติตามหลักการสำรองข้อมูลพื้นฐานยอดนิยมอย่าง “3-2-1 Rule” (คือการมีข้อมูลสำรองอย่างน้อย 3 ชุด จัดเก็บบนสื่อบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน 2 ประเภท และมีสำเนาชุดหนึ่งเก็บไว้นอกสถานที่ (Offsite)) แล้ว Synology ยังแนะนำให้องค์กรพิจารณาการทำสำเนาข้อมูลแบบออฟไลน์ (Offline Backup) เพิ่มเติม ซึ่ง ActiveProtect รองรับและอำนวยความสะดวกในส่วนนี้ การมีข้อมูลสำรองที่ถูกตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายหลัก (Air-gapped) จะช่วยลดโอกาสที่แรนซัมแวร์จะสามารถแพร่กระจายและเข้ารหัสข้อมูลสำรองชุดนี้ได้ ทำให้องค์กรมี “ปราการด่านสุดท้าย” ที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถกู้คืนข้อมูลสำคัญกลับมาได้ แม้ในกรณีที่ระบบหลักและข้อมูลสำรองออนไลน์ถูกโจมตีจนเสียหายทั้งหมด

จุดเด่นที่ทำให้ ActiveProtect เหนือกว่าโซลูชันแบบเดิม

ความโดดเด่นสำคัญของ ActiveProtect คือการเป็นโซลูชันแบบ “All-in-One” ที่รวมทั้งฮาร์ดแวร์ (ตัวเครื่อง Appliance) และซอฟต์แวร์ (ระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันจัดการข้อมูลสำรอง) ที่จำเป็นไว้ในอุปกรณ์เดียวเสร็จสรรพ ช่วยลดภาระและความยุ่งยากของทีม IT ที่ไม่ต้องเสียเวลาจัดหา ประกอบ และตั้งค่าระบบจากส่วนประกอบหลายๆ อย่างด้วยตนเอง มาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการสำรองข้อมูล (Backup) การกู้คืนข้อมูล (Recovery) และการจัดการข้อมูลข้ามไซต์ (Cross-site Management) อย่างมีประสิทธิภาพ

สถาปัตยกรรมของ ActiveProtect ยังรองรับการขยายตัว (Scalability) ได้เป็นอย่างดี ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูล ActiveProtect จากศูนย์กลางได้มากถึง 2,500 เครื่อง และควบคุมจัดการภาระงาน (Workload) การสำรองข้อมูลได้สูงสุดถึง 150,000 งาน ผ่านหน้าจอการจัดการเดียว (Single Pane of Glass) ช่วยให้การบริหารจัดการระบบสำรองข้อมูลขนาดใหญ่เป็นไปอย่างง่ายดายและประหยัดเวลา

นอกจากนี้ ActiveProtect ยังมาพร้อมฟีเจอร์ขั้นสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรยุคใหม่อย่างครบครัน อาทิ:

  • เทคโนโลยีการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อน (Global Deduplication Technology): ช่วยลดขนาดของข้อมูลสำรองลงได้อย่างมาก โดยจัดเก็บข้อมูลส่วนที่ซ้ำซ้อนกันเพียงครั้งเดียว ทำให้ประหยัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและลดปริมาณการใช้แบนด์วิธของเครือข่ายในระหว่างการสำรองข้อมูล ซึ่งส่งผลให้กระบวนการสำรองและกู้คืนข้อมูลทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลด้วย Btrfs Checksums: ระบบไฟล์ Btrfs ที่ใช้ใน ActiveProtect มีกลไกในการตรวจสอบและซ่อมแซมความเสียหายของข้อมูล (Silent Data Corruption) ที่อาจเกิดขึ้นบนสื่อบันทึกข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่สำรองไว้มีความถูกต้องสมบูรณ์และพร้อมใช้งานเมื่อต้องการกู้คืน
  • สภาพแวดล้อมทดสอบแบบ Sandbox: องค์กรสามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่แยกออกจากระบบใช้งานจริง (Isolated Sandbox Environment) เพื่อทดสอบแผนการกู้คืนข้อมูล (Disaster Recovery Plan) ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานปกติ ช่วยให้ทีม IT สามารถทดสอบและปรับปรุงกระบวนการกู้คืนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถกู้คืนระบบได้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • การยืนยันความสำเร็จในการกู้คืนด้วยวิดีโอ (Video Verification): เพิ่มความมั่นใจอีกระดับด้วยความสามารถในการสร้างวิดีโอบันทึกหน้าจอในระหว่างกระบวนการทดสอบการกู้คืนข้อมูลในสภาพแวดล้อม Sandbox เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าข้อมูลสำรองสามารถนำมาใช้กู้คืนระบบหรือแอปพลิเคชันให้กลับมาทำงานได้จริง
  • ความยืดหยุ่นในการกู้คืนข้อมูล (Flexible Recovery Options): รองรับการกู้คืนได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การกู้คืนทั้งระบบ (Full System Recovery), การกู้คืนเฉพาะไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการ (Granular File/Folder Recovery), การกู้คืนระบบจากเครื่อง Physical ไปยัง Virtual Machine (Physical-to-Virtual – P2V), และการกู้คืนระหว่าง Virtual Machine (Virtual-to-Virtual – V2V) เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายเวลาในการกู้คืนระบบ (Recovery Time Objective – RTO) ที่แตกต่างกันของแต่ละองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ความสามารถในการกู้คืนที่รวดเร็วและหลากหลายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

วิสัยทัศน์ Synology: ก้าวข้ามการจัดเก็บสู่การจัดการข้อมูลที่ครบวงจร

นายฟิลิป วอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ประธาน Synology กล่าวถึงทิศทางของบริษัทว่า “เป้าหมายของเราคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของการเป็นเพียงผู้ให้บริการโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิม ไปสู่การนำเสนอโซลูชันการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย ครบวงจร และชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถรับมือกับความท้าทายด้านข้อมูลที่ซับซ้อนในปัจจุบันได้อย่างมั่นใจและง่ายดายมากยิ่งขึ้น”

ความมุ่งมั่นดังกล่าวสะท้อนผ่านความสำเร็จและการยอมรับที่ Synology ได้รับจากลูกค้าทั่วโลก ปัจจุบัน Synology ให้บริการลูกค้าองค์กรมากกว่า 260,000 ราย ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทที่มีความต้องการด้านการจัดการข้อมูลสูง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สถาบันการเงิน ภาคการผลิต อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หน่วยงานด้านความมั่นคง และอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ มากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ต่างให้ความไว้วางใจเลือกใช้โซลูชันของ Synology ในการดำเนินงานประจำวัน

นอกจากนี้ Synology ยังได้รับคะแนนความพึงพอใจโดยรวมสูงถึง 4.7 จาก 5 คะแนน ในรายงาน “2025 Gartner Voice of the Customer for Enterprise Backup and Recovery Software Solutions” ซึ่งตอกย้ำถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริการได้เป็นอย่างดี

โดยสรุป การเปิดตัว Synology ActiveProtect ถือเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลกได้อย่างทันท่วงที ด้วยการนำเสนอโซลูชันการสำรองข้อมูลที่ผสานความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัย ความง่ายในการบริหารจัดการ และประสิทธิภาพในการกู้คืนข้อมูลไว้ในหนึ่งเดียว ช่วยให้องค์กรทุกขนาด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA สามารถเสริมสร้างเกราะป้องกันข้อมูลให้แข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงจากแรนซัมแวร์และภัยคุกคามอื่นๆ พร้อมรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

#Synology #ActiveProtect #DataBackup #Ransomware #CyberSecurity #DataProtection #PDPA #CyberThreat #ITInfrastructure #BusinessContinuity #DataManagement #ภัยไซเบอร์ #สำรองข้อมูล #ปกป้องข้อมูล #แรนซัมแวร์ #ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ #คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

Related Posts