TheReporterAsia – ณ ดินแดนที่ขุนเขาโอบล้อมและสายลมพัดพาเอากลิ่นอายของธรรมชาติมาทักทาย จังหวัดเพชรบูรณ์ไม่ได้เป็นเพียงเมืองท่องเที่ยว แต่คือบ้านเกิดของ “มะขามหวาน” รสเลิศ ที่เป็นดั่งทองคำสีน้ำตาลของแผ่นดิน และ ณ ใจกลางเมืองมะขามแห่งนี้เอง “สารัช” ได้ถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่แค่ในฐานะแบรนด์ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะขามชื่อดัง แต่เปรียบเสมือนแลนด์มาร์กที่มีชีวิต บอกเล่าเรื่องราวความผูกพันระหว่างผู้คน ผืนดิน และผลไม้คู่บ้านคู่เมืองชนิดนี้มายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ วันนี้ เราจะพาทุกท่านย้อนเวลา สัมผัสเรื่องราวอันน่าทึ่ง จากจุดเริ่มต้นในวันวาน สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านคำบอกเล่าของผู้ก่อตั้งและทายาทผู้สานต่อตำนาน
เรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นนานกว่าที่เราคิด ย้อนกลับไปในยุคที่ยังไม่มีใครเห็นคุณค่าของการแปรรูปมะขาม คุณยายของคุณสารัช หรือคุณแม่ของคุณสุภาลักษณ์ กมลธรไท (ครูหมู) คือวีรสตรีคนแรกๆ ท่านเป็นแม่ค้ามะขามฝักเจ้าแรกๆ ของเพชรบูรณ์เลยก็ว่าได้ และด้วยความเป็นลูกคนกลาง ครูหมูจึงได้ซึมซับ คลุกคลี และเรียนรู้ทุกแง่มุมของมะขามจากคุณแม่มาตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่าขวบ ความผูกพันนี้เองที่ทำให้ท่านรู้จักมะขามหลากหลายสายพันธุ์ ประหนึ่งเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน
จุดเริ่มต้นแปรรูป “มะขามตกเกรด”
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึง เมื่อครูหมูมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในมะขามฝักที่อาจไม่สวยงามนัก หรือที่เรียกว่า “มะขามตกเกรด” ในขณะที่คนอื่นอาจมองข้าม ครูหมูกลับเห็นคุณค่า และเกิดความคิดที่จะนำมะขามเหล่านี้มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ท่านเริ่มศึกษาหาวิธีการแปรรูปอย่างจริงจัง จากคอลัมน์เกษตรในหน้าหนังสือพิมพ์ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ค่อยๆ ปรับปรุงสูตร จนในที่สุดก็ทำสำเร็จ กลายเป็น “ต้นตำรับ” การแปรรูปมะขามอย่างแท้จริงในยุคนั้น เริ่มต้นจากการทำ “มะขามคลุก” อย่างง่ายๆ ตั้งตู้ขายเล็กๆ หน้าบ้าน ใครจะคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนาน จากมะขามคลุก ก็พัฒนาต่อยอดมาเป็น “มะขามแก้ว” เนื้อหนึบใส “มะขามแช่อิ่ม” รสกลมกล่อม และที่ขาดไม่ได้คือ “มะขามจี๊ดจ๊าด” รสชาติจัดจ้านที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ในเวลาต่อมา
เมื่อครูหมูสร้างครอบครัว ท่านและสามี (คุณครูจินดา กมลธรไท) ก็ได้สานต่อความฝันนี้ร่วมกัน และในปี ค.ศ. 1982 หรือ พ.ศ. 2525 พวกเขาได้มอบชื่อ “สารัช” ซึ่งเป็นชื่อของลูกชายคนเดียวให้กับแบรนด์นี้ แม้แบรนด์ “สารัช” จะถือกำเนิดในปีนั้น แต่หากนับย้อนไปถึงวันที่ครูหมูเริ่มลงมือแปรรูปมะขามครั้งแรก ก็นับเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วที่ท่านได้บุกเบิกเส้นทางสายนี้ (ส่วนตัวแบรนด์สารัชเองก็มีอายุยืนยาวกว่า 40 ปี)
เส้นทางการเติบโตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตลาดแรกที่ครูหมูบุกเบิกคือตลาดมหานาคในกรุงเทพฯ และต่อมาคือย่านท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมแม่ค้าฝีมือดี ที่นี่เองที่ครูหมูได้เรียนรู้เทคนิคการทำมะขามคลุกเพิ่มเติม จากแม่ค้าที่รับมะขามไปคลุกขายต่อ ท่านสังเกต จดจำ และนำมาปรับปรุงในแบบของตัวเอง ทั้งการตากมะขาม การเคี่ยวน้ำเชื่อม และเคล็ดลับการคลุกเคล้าให้อร่อยลงตัว จากนั้นจึงเริ่มขยายฐานลูกค้าด้วยตนเอง นำมะขามไปขายตามงานวัดใหญ่ๆ อย่างงานวัดพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนกลายเป็นกระแสให้คนอื่นทำตาม นอกจากนี้ยังนำไปฝากขายตามร้านค้าในมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกด้วย
ในช่วงแรก ครูหมูยังคงทำหน้าที่ “แม่พิมพ์ของชาติ” ควบคู่ไปกับการเป็น “แม่ค้ามะขาม” ท่านรับราชการครูในวันธรรมดา และใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ ตระเวนขายมะขามตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยความขยันขันแข็งและใจสู้ จนกระทั่งธุรกิจเริ่มมั่นคง ท่านจึงตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง ลาออกจากราชการเพื่อมาดูแล “สารัช” อย่างเต็มตัว กิจการได้จดทะเบียนพาณิชย์อย่างเป็นทางการในปี 2531 และก้าวสู่การเป็นนิติบุคคลเต็มรูปแบบในนาม “บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด” ในปี 2545
ก้าวกระโดดสู่ร้านสะดวกซื้ออย่างเต็มตัว
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งมาถึงในปี 2547 เมื่อ “สารัช” ได้รับโอกาสให้นำสินค้าเข้าวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เริ่มต้นจาก 500 สาขาในภาคเหนือก่อน และด้วยเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม ปีถัดมา (2548) มะขามสารัชก็ได้กระจายไปทั่วประเทศ การเข้าสู่ช่องทาง Modern Trade นี้เองที่ทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 100% จนต้องขยายโรงงานถึงสองครั้งเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
อะไรคือหัวใจที่ทำให้ “สารัช” ยืนหนึ่งในใจผู้บริโภคมายาวนาน? คำตอบแรกคือ “ความเป็นธรรมชาติ” (Originality) สารัชเชื่อมั่นในรสชาติแท้ๆ ของมะขาม ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวโดยธรรมชาติ หรือความหวานหอมที่เป็นเอกลักษณ์ การปรุงแต่งจะทำเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสรสชาติดั้งเดิมที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับ “คุณภาพและความปลอดภัย” ซึ่งเป็นสิ่งที่สารัชให้ความสำคัญสูงสุด ทุกขั้นตอนการผลิตต้องสะอาด ปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้าทานได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล
นอกจากนี้ สารัชยังไม่เคยหยุดนิ่งที่จะ “ปรับตัวตามเทรนด์” มีการพัฒนารสชาติให้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อยู่เสมอ เห็นได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ “จี๊ดจ๊าด” ที่ไม่ได้มีแค่รสเปรี้ยวหวาน แต่แตกไลน์ออกมาถึง 10 รสชาติย่อย เพิ่มความจัดจ้าน ซาบซ่า ถูกใจคนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับมะขามแก้ว มะขามแช่อิ่ม และมะขามคลุก ที่ต่างก็มีรสชาติใหม่ๆ ออกมาสร้างสีสัน และที่สำคัญ สารัชยังคง “มุ่งมั่นใช้วัตถุดิบในพื้นที่” เป็นหลัก รับซื้อมะขามทั้งเปรี้ยวและหวานจากเกษตรกรในเพชรบูรณ์ รวมถึงจากภาคเหนือและอีสานบางส่วน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยและสร้างงานในชุมชน
ยิ่งไปกว่านั้น สารัชยังเป็น “ผู้นำด้านมาตรฐาน” อย่างแท้จริง ครูหมูไม่เพียงแต่เป็นผู้บุกเบิกการแปรรูป แต่ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมการทำ GI หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ให้กับมะขามหวานเพชรบูรณ์ ทั้งในรูปแบบมะขามสดและมะขามแปรรูป ซึ่งสารัชถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ได้รับการรับรอง GI สำหรับมะขามแปรรูป นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่ายพัฒนาการเพาะปลูกตามมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ
รุ่นสอง “สารัช” แห่งเพชรบูรณ์ สู่ตลาดสากล
เมื่อกาลเวลาหมุนผ่าน การส่งต่อธุรกิจสู่รุ่นต่อไปก็มาถึง คุณสารัช กมลธรไท หรือคุณแฟลช ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่กับธุรกิจมะขามมาตั้งแต่จำความได้ (จนมองตัวเองว่าเป็นรุ่น 1.5) ได้ก้าวเข้ามารับช่วงต่อ นำความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่มาขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ยังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม คือการ “รักษาความเป็นต้นตำรับและภูมิปัญญาท้องถิ่น” โดยเฉพาะคุณภาพและที่มาของมะขามเพชรบูรณ์
คุณสารัชได้ทำการ “Rebranding” ครั้งใหญ่ เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ลดอายุแบรนด์ลง เริ่มตั้งแต่ “โลโก้ใหม่” ที่ยังคงมีกลิ่นอายของมะขาม แต่ดูเรียบง่าย โมเดิร์นขึ้น และพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์จากผลไม้อื่นๆ ในอนาคต การใช้ “สีสัน” ที่สดใสมากขึ้น และการสร้าง “มาสคอต” ประจำแบรนด์ คือ “น้องบราวนี่” (Nong Brawy) และ “น้องคอร์น” (Nong Corn) เพื่อใช้เป็นตัวแทนสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์และบนตัวผลิตภัณฑ์ เช่น สติกเกอร์ LINE
เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น คุณสารัชได้สร้าง “แบรนด์ลูก” (Sub-brands) ที่มีคาแรคเตอร์แตกต่างกันออกไป “Arisa” (อริสา) ซึ่งตั้งตามชื่อลูกสาวคนเล็ก เน้นความสดใส สร้างสรรค์ จับกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มทำงาน ด้วยสโลแกน “Food with Creativity” นำเสนอผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้ที่ผสมผสานรสชาติอย่างน่าสนใจ เช่น มะม่วงผสมผงบ๊วย มะม่วงคลุกปลาร้านัว หรือมะม่วงผสมพริกเกลือ “Achira” (อชิระ) ตั้งตามชื่อลูกชายคนโต เน้นผลิตภัณฑ์ที่เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี เช่น มะขามเคลือบช็อกโกแลต ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกของโลกที่ทำแบบผสมผสาน โดยได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่คุณสารัชต้องการหาวิธีให้ลูกชายยอมทานมะขามเพื่อแก้ปัญหาท้องผูก
และ “Sarach Gold” (สารัช โกลด์) แบรนด์ระดับพรีเมียม ที่คัดเฉพาะมะขามคุณภาพดีที่สุดในแต่ละฤดูกาล (ฝักใหญ่ สีสวย เนื้อแน่น) มีจำนวนจำกัด วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์อื่นๆ ในเครือ เช่น “คุณย่าหมู” ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามรสเด็ด และ “ขนมจีน 7 สี” ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมของคุณย่า
ในด้านการตลาด คุณสารัชใช้กลยุทธ์แบบ 360 องศา เพิ่ม “ช่องทาง” การจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้ง Hypermarket, Online, Offline ควบคู่ไปกับฐานที่มั่นเดิมใน Convenience Store มีการทำ “กิจกรรม” การตลาดเชิงรุก เช่น การแร็ปรถตุ๊กตุ๊กเพื่อสร้างการรับรู้ การออกบูธโรดโชว์ตามงานต่างๆ และการแจกสินค้าตัวอย่าง (Sampling) ให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลอง
และที่โดดเด่นคือ “แคมเปญ” การตลาด “สารัช ยืน 1 เรื่องมะขาม” ที่ใช้ครูหมูเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อตอกย้ำความเป็นต้นตำรับ และสร้างการจดจำให้กับผลิตภัณฑ์ “จี๊ดจ๊าด” ในกระปุกสี่เหลี่ยมสีชมพู ซึ่งเป็น Hero Product ที่สร้างยอดขายเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด พร้อมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาความสับสนระหว่างชื่อแบรนด์ “สารัช” กับชื่อผลิตภัณฑ์ “จี๊ดจ๊าด” ที่หลายคนมักเรียกติดปาก
ความท้าทายของการสร้างยอดขาย
มองภาพรวมธุรกิจในปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายหลักมาจากร้านสะดวกซื้อราว 50-60% ส่วนที่เหลือมาจากช่องทาง Hypermarket และ Online รวมกัน โดยมีการส่งออกคิดเป็นประมาณ 20% ของยอดขายรวม ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย อเมริกา ยุโรป รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งนิยมมะขามไทยเป็นอย่างมาก
ในด้านกำลังการผลิต โรงงานสารัชใช้มะขามเป็นวัตถุดิบราว 2,000-3,000 ตันต่อปี สามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 600,000-700,000 ชิ้นต่อเดือน และมีศักยภาพขยายได้ถึง 1 ล้านชิ้นต่อเดือน ปัจจุบันใช้กำลังผลิตอยู่ที่ประมาณ 60-70% มีห้องเย็นขนาดใหญ่ถึง 6 ห้อง และได้รับการรับรองมาตรฐาน BRC ซึ่งจำเป็นสำหรับการส่งออกไปยังยุโรปและอเมริกา สร้างยอดขายรวมประมาณ 100 กว่าล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับราคาต่อหน่วยของสินค้าที่ไม่สูงนัก
พัฒนาบ้านเกิดควบคู่ตลาด มะขามสารัช อย่างยั่งยืน
แต่เมื่อถามถึงเป้าหมายสูงสุดของสารัช คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่ตัวเลขกำไร แต่คือความมุ่งมั่นในการ “พัฒนาบ้านเกิด” จังหวัดเพชรบูรณ์ การ “สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ให้กับคนในพื้นที่ ทั้งพนักงานประจำกว่า 120 ชีวิต และเกษตรกร รวมถึงซัพพลายเออร์ในเครือข่ายอีกนับหมื่นคน และการ “คืนกำไรสู่สังคม” นี่คือหัวใจที่ขับเคลื่อนสารัชมาโดยตลอด แม้จะตั้งเป้าการเติบโตทางธุรกิจไว้ที่ 20-30% ต่อปี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
เพื่อรองรับการเติบโตและความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดจีน สารัชได้วางแผน “แก้ปัญหาวัตถุดิบ” อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรทำ GAP และ GI อย่างต่อเนื่อง สอนเทคนิคการทำ “มะขามต้นเตี้ย” และการปลูกแบบ “ระยะชิด” เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมถึงส่งเสริมการปลูกมะขามเปรี้ยวแทรกในสวนมะขามหวาน ซึ่งมะขามเปรี้ยวมีความทนทานต่อโรคและแมลงมากกว่า และยังช่วยในการผสมเกสร เพิ่มโอกาสติดผลให้กับมะขามหวานอีกด้วย
มองไปในอนาคต สารัชไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจมะขาม แต่มีแผน “ขยายธุรกิจ (Diversification)” ไปสู่ไลน์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น “เครื่องดื่ม” สมุนไพร อย่างน้ำใบเตย (ซึ่งมีผลิตแล้ว) หรือน้ำมะลิ การสร้าง “ที่พัก/ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ในรูปแบบรีสอร์ทที่ใช้พลังงานสะอาด (Green Energy) และนำเสนอผลิตภัณฑ์ของสารัช และในระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) ยังมองไปถึง “ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม” เช่น สกินแคร์ หรืออาหารเสริมจากมะขาม
ทั้งหมดนี้ดำเนินควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นด้าน “ความยั่งยืน” สารัชมุ่งสู่ Green Construction & Operation เช่น การติดตั้ง Solar Roof บนหลังคาโรงงานและอาคารต่างๆ การเข้าร่วมโครงการ Carbon Footprint และ Carbon Credit เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ในระยะยาว
การเดินทางกว่า 5 ทศวรรษของ “สารัช” คือบทพิสูจน์ว่า ธุรกิจที่เติบโตอย่างแท้จริง ไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรือผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยการบุกเบิก ความมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพ การปรับตัวให้ทันยุคสมัย การโอบอุ้มชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน และวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าเพื่อสร้างความยั่งยืน จากแม่ค้ามะขามฝัก สู่การเป็น “ตัวจริง ยืนหนึ่งเรื่องมะขาม” นี่คือเรื่องราวความสำเร็จที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากหัวใจที่รักในผืนดินบ้านเกิด และความตั้งใจที่จะส่งต่อรสชาติแห่งความสุขจากเพชรบูรณ์สู่ผู้คนทั่วโลก
#มะขามสารัช #ตัวจริงเรื่องมะขาม #สารัชยืน1เรื่องมะขาม #Sarach #ตำนานมะขาม #มะขามหวานเพชรบูรณ์ #มะขามGI #เพชรบูรณ์ #หล่มเก่า #มะขามแปรรูป #มะขามจี๊ดจ๊าด #ครูหมูสารัช #อร่อยบอกต่อ #สินค้าไทย #MadeInThailand #ของฝากเพชรบูรณ์ #เที่ยวไทย #เกษตรไทย #SMEไทยสู่สากล #ธุรกิจครอบครัว #ความภูมิใจของไทย #เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ #พัฒนาบ้านเกิด #ความยั่งยืน