เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 พลิกฟื้นมีกำไร 1,099 ล้านบาท เติบโตดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าในทุกกลุ่มธุรกิจ หลังเร่งปรับตัวสู้ความท้าทายและดำเนินมาตรการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินต่อเนื่อง ดันกระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่ง 12,889 ล้านบาท พร้อมยกระดับ “4 กลยุทธ์” สำคัญ รับมือสงครามการค้าโลกที่รุนแรงและยืดเยื้อ มั่นใจสร้างเสถียรภาพและการเติบโตท่ามกลางความท้าทาย
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เอสซีจี หนึ่งในกลุ่มบริษัทชั้นนำของอาเซียน ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) โดยแสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน แม้ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและความท้าทายจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น บริษัทรายงานกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาท พลิกฟื้นจากที่ขาดทุน 512 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2567 โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจหลัก และการดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจี มีกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาท เนื่องจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ตามมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เร่งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการ รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ปัจจัยบวกสำคัญมาจากการที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลก่อสร้างปกติ และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ก็ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีวินัยและการปรับพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด ส่วนธุรกิจเอสซีจีพี (SCGP) ยังคงรักษาความแข็งแกร่ง โดยมุ่งเน้นการเติบโตเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคภายในกลุ่มประเทศอาเซียน การเสริมพอร์ตสินค้าสำหรับผู้บริโภค (Consumer Packaging) ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
กระแสเงินสดแข็งแกร่ง สะท้อนวินัยทางการเงิน
นอกเหนือจากผลกำไรที่ฟื้นตัวแล้ว จุดเด่นที่สำคัญของผลประกอบการไตรมาสนี้คือความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ซึ่งอยู่ที่ 12,889 ล้านบาท แม้จะลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่สาเหตุหลักมาจากการที่ไตรมาสก่อนมีเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ในระดับที่สูงกว่า หากพิจารณาเฉพาะกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลัก (EBITDA from Operations) พบว่าอยู่ที่ 11,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 22% จากไตรมาสก่อน ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวที่ฉับไวและประสิทธิภาพที่แท้จริงของธุรกิจในการรับมือกับความท้าทาย
ความสำเร็จนี้เป็นผลพวงจากการดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทั้งการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างรัดกุม ซึ่งส่งผลให้เอสซีจีสามารถลดหนี้สินสุทธิลงเหลือ 290,504 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 และเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
เผชิญหน้าสงครามการค้าด้วย 4 กลยุทธ์เชิงรุก
อย่างไรก็ตาม เอสซีจียอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าโลกที่รุนแรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8% และปรับลด GDP ของไทยเหลือ 1.8%
นายธรรมศักดิ์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าว่า “ผลกระทบทางตรงต่อเอสซีจีมีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวม แต่ผลกระทบทางอ้อมน่ากังวลกว่า หากพ้นระยะเวลา 90 วันที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568” สถานการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่การชะลอตัวรุนแรงของเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลก การส่งออกระหว่างประเทศอาจหดตัว และการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในไทยจะส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น
แม้ภาพรวมจะเต็มไปด้วยความท้าทาย นายธรรมศักดิ์มองว่ายังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ “สงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันทั่วโลก แต่ยังมีโอกาส เช่น แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ตลอดจนบางตลาดยังมีกำลังซื้อสูงสำหรับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ (QAP)”
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เอสซีจีจึงได้ยกระดับการปรับตัวด้วย “4 กลยุทธ์” สำคัญ ซึ่งจะถูกนำไปปรับใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่:
1.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก: กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน เพื่อรับมือกับสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่อาจเข้ามาตีตลาด โดยจะดำเนินการผ่านการลดต้นทุนการผลิต (Operation Cost) ด้วยการควบรวมไลน์การผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มการใช้ Robotic Automation อย่างเข้มข้น ตัวอย่างเช่น การใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะในการประกอบบ้านโมดูลาร์ทนแผ่นดินไหวของ SCG HEIM หรือการใช้เครื่องหล่อแรงดันสูงและหุ่นยนต์พ่นสีเคลือบอัตโนมัติในการผลิตสุขภัณฑ์ COTTO ของ SCG Decor
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการลดต้นทุนการบริหารจัดการ (Admin Cost) โดยเพิ่มการใช้ AI ในกระบวนการต่างๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง หรือการคาดการณ์ความผิดปกติของเครื่องจักร (Predictive Maintenance) รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) และพลังงานชีวมวล (Biomass) ซึ่งในไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจีใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 44% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด
2.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ: เอสซีจีจะเดินหน้าพัฒนาสินค้ากลุ่ม “สินค้ามูลค่าเพิ่มสูงและสินค้ากรีน” (HVA Products & Green Products) ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของตลาด เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่ ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ ซึ่งกำลังพัฒนา Gen 3 ที่ลดคาร์บอนได้ถึง 40% และตั้งเป้าจำหน่ายในไตรมาส 4 ปีนี้
ควบคู่ไปกับการเพิ่มกลุ่ม “สินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้” (Quality Affordable Products – QAP) ซึ่งมีความต้องการสูงและสามารถทำกำไรได้ทันที เช่น SCG Solar Roof ที่มีหลายแพ็กเกจราคา หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve ที่คุ้มค่า ทนทาน หรือท่อ PVC เกษตรที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับความต้องการของเกษตรกรโดยเฉพาะ
3.บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง: ใช้เครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวางของเอสซีจีทั่วโลก ขยายการส่งออกสินค้าต่างๆ เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ กระเบื้อง สมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์ ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและความต้องการสูง โดยเฉพาะประเทศที่ปรับตัวและอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์สงครามการค้า
4.สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน: ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเอสซีจีที่มีฐานการผลิตในหลายประเทศในอาเซียน เพื่อสลับฐานการผลิตและส่งออกสินค้าจากประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า หรือมีความได้เปรียบด้านอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพี สามารถผลิตและส่งออกจากทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนปูนคาร์บอนต่ำและกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน สามารถผลิตและส่งออกจากไทยและเวียดนามได้
เจาะลึกผลงานรายธุรกิจ และมุมมองอนาคต
เมื่อพิจารณารายธุรกิจ พบว่า เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) มี EBITDA 2,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ดีขึ้นและปริมาณขาย PVC ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงบันทึกขาดทุนสำหรับงวด 2,948 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนลดลงจากไตรมาสก่อน และส่วนหนึ่งมาจากผลขาดทุนที่ลดลงของโรงงาน LSP แม้ตลาดเคมีภัณฑ์ยังมีความไม่แน่นอนและอุปสงค์ชะลอตัว แต่ SCGC คาดว่าจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ช่วยลดต้นทุนการผลิต และยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเตรียมความพร้อมโครงการ LSP ให้กลับมาเดินเครื่องได้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม
กลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ประกอบด้วย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ มี EBITDA 3,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% และกำไร 1,443 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506% จากไตรมาสก่อน จากอานิสงส์ของฤดูกาลก่อสร้างและราคาปูนซีเมนต์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วน เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล มี EBITDA 1,151 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนในไตรมาสก่อน และมีกำไร 751 ล้านบาท จากการลดค่าใช้จ่ายหลังปรับโครงสร้างและอุปสงค์จากโครงการรัฐและกลุ่มที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย
เอสซีจีพี (SCGP) มี EBITDA 4,234 ล้านบาท และกำไร 900 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ เอสซีจี เดคคอร์ มี EBITDA 808 ล้านบาท และกำไร 217 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน
มุ่งเน้นสินค้า HVA และ Green Choice สร้างการเติบโตยั่งยืน
เอสซีจียังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (SCG Green Choice) อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 สินค้า HVA สร้างรายได้ 37,709 ล้านบาท คิดเป็น 38% ของรายได้รวม ขณะที่สินค้า SCG Green Choice สร้างรายได้ถึง 64,540 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของรายได้รวม สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมเคียงข้าง SME
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงความห่วงใยต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากและได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าโลกว่า “เอสซีจีพร้อมเปิดบ้านสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ถ่ายทอดความรู้ เสริมศักยภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ ผ่านโครงการ ‘Go Together’ ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และจะครบเป้าหมายเฟสแรก 1,200 คนในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงโครงการ ‘NZAP’ ที่มีผู้เข้าร่วมแล้ว 106 ราย ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันนี้ เราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน”
โดยรวมแล้ว ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ของเอสซีจี แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความแข็งแกร่งทางการเงิน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย การมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกทั้ง 4 ด้าน ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการภายในอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาองค์กรฝ่าฟันความไม่แน่นอน และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
#SCG #ผลประกอบการSCG #ไตรมาส1ปี2568 #เศรษฐกิจไทย #สงครามการค้า #กลยุทธ์ธุรกิจ #เคมิคอลส์ #ซีเมนต์ #แพคเกจจิ้ง #SCGC #SCGP #HVA #GreenChoice #อาเซียน #EBITDA #ธรรมศักดิ์เศรษฐอุดม #SME #GoTogether #NZAP