เจาะลึก ‘ค่าหัวคิว-เงินทอน’: กลไก ทุจริต ฝังราก ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย เสียหายปีละแสนล้าน

เจาะลึก ‘ค่าหัวคิว-เงินทอน’: กลไก ทุจริต ฝังราก ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย เสียหายปีละแสนล้าน

TheReporterAsiaปัญหาการ ทุจริต คอร์รัปชันในรูปแบบ “ค่าหัวคิว” และ “เงินทอน” ยังคงเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินสังคมและเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายมหาศาลคิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในวงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ กลไกเหล่านี้ไม่เพียงทำให้งบประมาณแผ่นดินรั่วไหล แต่ยังบั่นทอนประสิทธิภาพการแข่งขัน ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพิ่มความเหลื่อมล้ำ และกัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล การทำความเข้าใจนิยาม กลไก รากเหง้า และผลกระทบอย่างลึกซึ้ง จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการแสวงหาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน

ถอดรหัส “ค่าหัวคิว-เงินทอน”: ความหมายและนัยยะในวงจรทุจริตไทย

การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาเรื้อรังที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนผ่านคำศัพท์เฉพาะที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น “ค่าหัวคิว” และ “เงินทอน” ซึ่งบ่งบอกถึงกลไกการทุจริตที่ซับซ้อนและหยั่งรากอยู่ในระบบราชการและภาคส่วนต่างๆ การทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

“ค่าหัวคิว” โดยพื้นฐานแล้วหมายถึง เงินหรือผลประโยชน์อื่นใดที่เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีอำนาจ เรียกรับจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลหรืออำนาจหน้าที่ของตน เพื่อแลกกับการอำนวยความสะดวก การให้สิทธิพิเศษ หรือการดำเนินการบางอย่างก่อนผู้อื่น การเรียกรับค่าหัวคิวมักเกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น การอนุมัติโครงการ การให้สิทธิ์ในการดำเนินกิจกรรม หรือแม้กระทั่งการหักเปอร์เซ็นต์จากเงินกู้ยืมกองทุนต่างๆ หรือจากผู้ที่กำลังหางาน กล่าวได้ว่า ค่าหัวคิวคือรูปแบบหนึ่งของ “สินบน” ที่ถูกเรียกร้องเพื่อแลกกับการใช้อิทธิพลหรืออำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ

ในทางกลับกัน “เงินทอน” ในบริบทของการทุจริต หมายถึง เงินส่วนหนึ่งของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณโครงการ เงินอุดหนุน หรือสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ที่ผู้ได้รับประโยชน์ เช่น ผู้รับเหมาเอกชน หรือหน่วยงานที่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างวัด ต้องจ่ายคืนให้กับเจ้าหน้าที่ นักการเมือง หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการอนุมัติหรือจัดสรรงบประมาณนั้นๆ การจ่ายเงินทอนมักมีการตกลงอัตราส่วนที่แน่นอนไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจอยู่ในช่วง ถึง หรือ ถึง ในบางกรณี ส่งผลให้ผู้รับเหมาจำเป็นต้องเสนอราคาโครงการที่สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินทอนและยังคงมีกำไรเหลืออยู่ ผลลัพธ์สุดท้ายที่ตามมาคือ โครงการที่ดำเนินการมักมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน หรือไม่สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไป กรณีอื้อฉาวอย่าง “เงินทอนวัด” ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของกลไกการทุจริตในรูปแบบนี้

แม้ว่าทั้ง “ค่าหัวคิว” และ “เงินทอน” จะเป็นรูปแบบของการรับสินบน แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียด กล่าวคือ “ค่าหัวคิว” มักเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเพื่อแลกกับการเข้าถึงหรือการตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์ ก่อน หรือ ระหว่าง กระบวนการ โดยอาศัยอำนาจหรืออิทธิพลเป็นหลัก ในขณะที่ “เงินทอน” มักเกิดขึ้น หลัง จากการอนุมัติงบประมาณหรือการจัดสรรเงินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้มาจากงบประมาณสาธารณะ และมักเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดในการตั้งราคาโครงการให้สูงเกินจริงตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานทั่วไป คำทั้งสองนี้อาจถูกใช้สลับกันไปมาได้บ้าง

ความแพร่หลายของคำศัพท์เฉพาะเหล่านี้ ควบคู่ไปกับคำอื่นๆ เช่น “เงินใต้โต๊ะ” “ส่วย” หรือ “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” ไม่เพียงสะท้อนกลไกการทุจริตที่เข้าใจกันในวงกว้าง แต่ยังบ่งชี้ถึงจุดอ่อนเชิงระบบที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารการเงินภาครัฐ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ การที่คำศัพท์เหล่านี้มีอยู่และเป็นที่เข้าใจอย่างกว้างขวาง ยังชี้ให้เห็นถึงระดับของการยอมรับหรือความคุ้นชิน (Normalization) กับพฤติกรรมทุจริตเหล่านี้ในบางภาคส่วน ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้กระทำผิดบางรายอาจมองว่าเป็นการปฏิบัติตาม “ธรรมเนียม” มากกว่าการกระทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรง

พื้นที่สีเทา: ส่องกลไกทุจริตในโครงการรัฐ-จัดซื้อจัดจ้าง

ปัญหาค่าหัวคิวและเงินทอนไม่ได้กระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันในทุกภาคส่วน แต่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษในพื้นที่ที่มีงบประมาณสูง กระบวนการมีความซับซ้อน หรือมีช่องว่างในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ การก่อสร้างภาครัฐถือเป็นจุดเสี่ยงสำคัญลำดับต้นๆ ด้วยงบประมาณมหาศาลในแต่ละปี (ประเมินว่าอาจสูงถึง แสนล้านบาทต่อปี) และมีการประเมินความเสียหายจากการเรียกรับหัวคิวเป็นจำนวนมหาศาล (อาจสูงถึงปีละ แสนล้านบาท) ตัวอย่างโครงการที่ตกเป็นเป้าหมาย ได้แก่ โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การก่อสร้างอาคาร และโครงการต่างๆ ในระดับท้องถิ่น แม้กระทั่งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง “ไทยเข้มแข็ง” ก็เคยถูกกล่าวหาว่ามีการเรียกรับหัวคิวในอัตราประมาณ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มักเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง การจัดการงบประมาณ และการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่และเอกชน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตใน อปท. เป็นจำนวนมาก รวมถึงกรณีการเรียกรับหัวคิวจากการจ่ายเงินโบนัสของพนักงาน

นอกจากนี้ ระบบเงินอุดหนุนและเงินช่วยเหลือจากภาครัฐก็มีความเสี่ยงสูงต่อรูปแบบ “เงินทอน” ที่ส่วนหนึ่งของเงินช่วยเหลือต้องถูกส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้อง ดังเช่นกรณี “เงินทอนวัด” ที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วสังคม ปัญหาในลักษณะคล้ายคลึงกันยังพบในกองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้ และอาจรวมถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ด้วย

กลไกการทุจริตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมีความซับซ้อนและหลากหลาย เริ่มตั้งแต่การ “ล็อคสเปค” (Locking Specifications) คือการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ (TOR) ของพัสดุหรือโครงการให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้จัดจำหน่ายหรือผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ การ “ฮั้วประมูล” (Bid Rigging) ซึ่งเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างผู้เสนอราคาเพื่อกำหนดผู้ชนะไว้ล่วงหน้า ทำลายการแข่งขันที่เป็นธรรมและทำให้รัฐต้องจ่ายในราคาสูงเกินควร การบิดเบือนกระบวนการคัดเลือกคุณสมบัติเบื้องต้น (PQ) เพื่อกีดกันผู้แข่งขันรายอื่นอย่างไม่เป็นธรรม การใช้ดุลยพินิจในการประเมินราคา การตัดสินผู้ชนะ หรือการตรวจรับงานโดยมิชอบ เพื่อเรียกรับ “สินน้ำใจ” หรือเอื้อประโยชน์ให้เกิดการสมยอม

วงจรการตั้งราคาสูงเกินจริงและเรียกรับ “เงินทอน” ก็เป็นกลไกที่พบบ่อย โดยมีการกำหนดราคากลางที่สูงเกินควร ทำสัญญาในราคาสูง และจากนั้นจึงเรียกร้องเงินทอนจากผู้รับเหมาหรือผู้รับเงินตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การแบ่งย่อยโครงการ (“ซอยงาน”) เพื่อให้มูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวดกว่าอย่าง e-bidding หรือแม้กระทั่งการใช้ช่องโหว่ในระบบ e-bidding เอง เช่น การเข้าถึงข้อมูลราคาของคู่แข่งโดยมิชอบผ่าน “ห้องพิเศษ”

การทุจริตเหล่านี้มักไม่ได้เกิดขึ้นโดยบุคคลเพียงคนเดียว แต่เป็นผลมาจากเครือข่ายการสมรู้ร่วมคิดที่ซับซ้อน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐในหลายระดับ และภาคเอกชน (ผู้รับเหมา ผู้จัดจำหน่าย) บางครั้งเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการอาจกระทำการภายใต้แรงกดดันหรือคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ความหลากหลายและความซับซ้อนของกลไกเหล่านี้ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากระบบใหม่ๆ เช่น e-bidding แสดงให้เห็นว่าการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับค่าหัวคิวและเงินทอนไม่ใช่เพียงการฉวยโอกาส แต่เป็นการวางแผนอย่างรอบคอบและเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเครือข่ายผู้กระทำผิด

รากเหง้าปัญหา: ทำไมคอร์รัปชัน “ค่าหัวคิว-เงินทอน” จึงฝังลึก?

รากเหง้าของปัญหาการทุจริตที่ฝังรากลึกนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของระบบราชการ วัฒนธรรมและค่านิยมทางสังคม และช่องว่างหรือความอ่อนแอของกรอบกฎหมายและกฎระเบียบ โครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์แนวดิ่งในระบบราชการไทยที่เน้นลำดับชั้นบังคับบัญชา อาจเปิดช่องให้ผู้บังคับบัญชากดดันผู้ใต้บังคับบัญชาให้กระทำการทุจริตได้ การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ระบบควบคุมภายในที่หย่อนยาน และการรับรู้ว่าผู้กระทำผิดมักไม่ได้รับโทษรุนแรง ทำให้ขาดความเกรงกลัว นอกจากนี้ เงินเดือนข้าราชการระดับล่างที่ไม่สมดุลกับค่าครองชีพ อาจสร้างแรงจูงใจให้แสวงหารายได้พิเศษที่ไม่ถูกต้อง กฎระเบียบที่ซับซ้อนและการให้อำนาจดุลยพินิจแก่เจ้าหน้าที่สูง ก็เป็นอีกช่องทางที่เอื้อให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ การแทรกแซงทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพรรคพวกยิ่งทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น

วัฒนธรรมอุปถัมภ์ (Patronage System) ที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวและความภักดีมากกว่าระบบคุณธรรม ส่งเสริมการเล่นพรรคเล่นพวกและการตอบแทนบุญคุณ ซึ่งอาจขัดแย้งกับผลประโยชน์สาธารณะ ค่านิยมทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับสถานะ ความร่ำรวย และเส้นสาย มากกว่าหลักการทางจริยธรรม ประกอบกับการยอมรับหรือมองข้ามการทุจริตเล็กน้อย (“สินน้ำใจ” “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” “กินตามน้ำ”) สร้างความคุ้นชินและอาจนำไปสู่การยอมรับการทุจริตที่ใหญ่ขึ้น

ในด้านกฎหมาย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบต่างๆ แต่ก็ยังมีช่องโหว่ ความคลุมเครือ หรือการบังคับใช้ที่ไม่จริงจังและสม่ำเสมอ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง การดำเนินคดีที่ซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจมักประสบความยากลำบาก ข้อกำหนดด้านความโปร่งใสที่ยังไม่เพียงพอ และการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการต่อสู้กับการทุจริต

ผลกระทบรอบด้าน: เมื่อ “ค่าหัวคิว-เงินทอน” กัดกร่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมั่น

ผลกระทบของการทุจริตในรูปแบบค่าหัวคิวและเงินทอนนั้นรุนแรงและส่งผลกระทบในหลายมิติ ด้านเศรษฐกิจ คือการสูญเสียงบประมาณสาธารณะจำนวนมหาศาล (ประเมินว่าอาจสูงถึง ของงบประมาณในบางภาคส่วน หรือคิดเป็นเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทต่อปี) ซึ่งควรจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศและบริการสาธารณะ เกิดความไร้ประสิทธิภาพและความสิ้นเปลืองในโครงการภาครัฐ ต้นทุนโครงการสูงเกินจริง แต่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้เงินภาษีของประชาชนไม่ถูกใช้อย่างคุ้มค่า การทุจริตยังบิดเบือนการแข่งขันในตลาด เอื้อประโยชน์ให้บริษัทที่มีเส้นสายมากกว่าบริษัทที่มีประสิทธิภาพ สร้างอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่ และทำลายบรรยากาศการลงทุน ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศลดลงในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ดังสะท้อนจากคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจนัก ทั้งหมดนี้ล้วนบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ในมิติทางสังคม การ ทุจริต ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเบี่ยงเบนทรัพยากรจากบริการสาธารณะที่ควรจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ไปสู่การเพิ่มพูนความมั่งคั่งของคนเพียงกลุ่มน้อย สร้างความรู้สึกเคลือบแคลงและไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐ และกัดกร่อนความสมานฉันท์ในสังคม การเข้าถึงบริการสาธารณะหรือโอกาสต่างๆ อาจขึ้นอยู่กับเส้นสายหรือความสามารถในการจ่ายสินบน ทำให้ผู้ที่ไม่มีเสียเปรียบ นอกจากนี้ยังส่งเสริมค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ความไม่ซื่อสัตย์กลายเป็นเรื่องปกติ และบ่อนทำลายมาตรฐานทางจริยธรรม

ในด้านธรรมาภิบาลและความเชื่อมั่นของสาธารณะ การทุจริตบั่นทอนความชอบธรรม ประสิทธิภาพ และความเป็นกลางของสถาบันภาครัฐ ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาล นักการเมือง และระบบราชการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และทำลายหลักนิติธรรมและความเสมอภาคทางกฎหมาย

การต่อสู้ที่ยังไม่จบสิ้น: หน่วยงานต้านโกง กฎหมาย และความท้าทาย

ประเทศไทยมีหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีอำนาจไต่สวน ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และส่งเสริมการป้องกันการทุจริต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งเน้นการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานสนับสนุนอื่นๆ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

แม้หน่วยงานเหล่านี้จะมีความสำเร็จในการไต่สวนและเปิดโปงคดีทุจริตสำคัญหลายคดี เช่น คดีเงินทอนวัด คดีโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่นำไปสู่การลงโทษผู้กระทำผิดระดับสูง แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งปริมาณคดีที่มากเกินกว่าทรัพยากร ความซับซ้อนในการไต่สวนคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ ข้อกังวลด้านความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง และช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายและการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ รวมถึงการยึดทรัพย์สินคืนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การดำเนินงานในอดีตอาจเน้นไปที่การปราบปรามมากกว่าการป้องกันเชิงรุก แม้จะมีความพยายามปรับเปลี่ยนในปัจจุบันก็ตาม

กรอบกฎหมายที่สำคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต (พ.ร.ป. ป.ป.ช.) พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพ แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่และความท้าทายในการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบน และกฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กฎหมายฮั้วประมูล) การคงอยู่ของปัญหาค่าหัวคิวและเงินทอนชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างในการนำไปปฏิบัติ” (implementation gap) ซึ่งประสิทธิภาพของกฎหมายและหน่วยงานต่างๆ อาจถูกจำกัดโดยปัจจัยเชิงระบบ เช่น การขาดเจตจำนงทางการเมืองที่แท้จริง และธรรมชาติของการทุจริตที่ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

ทางออกต้องบูรณาการ: ข้อเสนอแนะสู้ภัยคอร์รัปชันจากทุกภาคส่วน

การแก้ไขปัญหาค่าหัวคิวและเงินทอนที่ฝังรากลึกนี้ จำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุม บูรณาการ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ข้อเสนอแนะสำคัญประกอบด้วย:

  1. การเสริมสร้างกรอบกฎหมายและกฎระเบียบ: ต้องเร่งอุดช่องโหว่ใน พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาการแบ่งย่อยโครงการ การล็อคสเปค และช่องโหว่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความเข้มข้นของบทลงโทษให้เกิดความเกรงกลัว บังคับใช้อย่างจริงจัง รวมถึงการขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทุจริตและการริบทรัพย์สิน ปรับปรุงกฎเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนให้ชัดเจนและบังคับใช้จริงจัง และสร้างกลไกคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ
  2. การเพิ่มความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน: ผลักดันการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐในทุกขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างและงบประมาณอย่างเป็นระบบ ทันท่วงที และเข้าถึงง่ายในรูปแบบข้อมูลเปิด (Open Data) ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น “ภาษีไปไหน?” หรือ “ACT Ai” ขยายและเสริมสร้างการใช้ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pacts) ให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้น และเพิ่มขีดความสามารถให้ประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคมในการตรวจสอบและรายงานการทุจริตที่ต้องสงสัยอย่างปลอดภัย โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและตรวจจับความผิดปกติ
  3. การปฏิรูปสถาบันและการบังคับใช้กฎหมาย: เสริมสร้างความเข้มแข็งและความเป็นอิสระอย่างแท้จริงของหน่วยงานต่อต้านการทุจริต โดยเฉพาะ ป.ป.ช. พร้อมจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ ปฏิรูประบบราชการโดยส่งเสริมระบบคุณธรรมแทนระบบอุปถัมภ์ ปรับปรุงค่าตอบแทนและสภาพการทำงานเพื่อลดแรงจูงใจในการทุจริต ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และเสริมสร้างหน่วยงานตรวจสอบภายในให้เข้มแข็ง ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ที่แน่วแน่และต่อเนื่องจากผู้นำระดับสูงสุดในการต่อสู้กับการทุจริตอย่างจริงจัง
  4. การส่งเสริมวัฒนธรรมคุณธรรมและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน: ปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตผ่านการศึกษาและฝึกอบรมด้านจริยธรรมในทุกระดับ ตั้งแต่หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในโรงเรียน ไปจนถึงการอบรมเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไป ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจนำนโยบายต่อต้านการให้สินบนและมีระบบกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (Compliance Programs) ที่เข้มแข็ง และรณรงค์สาธารณะเพื่อเปลี่ยนทัศนคติและบรรทัดฐานทางสังคม จากการยอมรับหรือเพิกเฉยต่อการทุจริต ไปสู่การให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์สุจริตและความรับผิดชอบ

บทสรุป: ก้าวต่อไปสู่สังคมไทยไร้คอร์รัปชัน

โดยสรุป การต่อสู้กับปัญหาค่าหัวคิวและเงินทอนที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เป็นการเดินทางที่ยาวไกลและต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความอดทน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การดำเนินการตามแนวทางที่ครอบคลุม ทั้งการปฏิรูปกฎหมาย สถาบัน การส่งเสริมความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ลดทอนเครือข่ายการทุจริต และนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมที่มีธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ความเท่าเทียม และความไว้วางใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างแท้จริง

#ค่าหัวคิว #เงินทอน #ทุจริตคอร์รัปชัน #คอร์รัปชันไทย #จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ #เศรษฐกิจไทย #ปปช #ปปท #สตง #ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน #ธรรมาภิบาล #งบประมาณแผ่นดิน #ความโปร่งใส #ต่อต้านคอร์รัปชัน

Related Posts