ไทยเผชิญวิกฤตสุขภาพตาในยุค “Super Aged Society” ผลสำรวจโรชชี้ชัด คนไทยวัยกลางคน-สูงอายุละเลยการตรวจตาสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก จักษุแพทย์เตือนอย่ามองข้ามอาการผิดปกติ เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นถาวร กระทบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” เต็มรูปแบบในปี 2576 สร้างความท้าทายใหญ่หลวงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพดวงตา ผลสำรวจล่าสุดจากโรช ไทยแลนด์ ตอกย้ำวิกฤต พบคนไทยวัยเก๋าเกือบ 20% ไม่เคยตรวจตากับจักษุแพทย์ ครองแชมป์ละเลยสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก ความเชื่อผิดๆ ว่าตาพร่ามัวเป็นเรื่องปกติของวัย กำลังนำไปสู่ความเสี่ยงโรคตาร้ายแรงอย่างจอตาเสื่อม ที่อาจบั่นทอนคุณภาพชีวิตและสร้างภาระทางเศรษฐกิจมหาศาล ภาครัฐและเอกชนเร่งผนึกกำลังรณรงค์ กระตุ้นเตือนให้ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ ก่อนจะสายเกินแก้
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ในปี พ.ศ. 2567 จำนวนประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คิดเป็นสัดส่วนถึง 20.70% ของประชากรทั้งประเทศ และสถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2576 สัดส่วนดังกล่าวจะพุ่งทะยานเกินกว่า 30% ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” หรือ “Super Aged Society” อย่างเต็มตัว ซึ่งนิยามถึงสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่หมายถึงความท้าทายอันใหญ่หลวงที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ระบบสวัสดิการสังคม และที่สำคัญคือด้านสุขภาพของประชากร ซึ่งการเสื่อมถอยของร่างกายตามวัยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบจากสังคมสูงวัย บริษัท โรช (Roche) ผู้นำด้านไบโอเทคโนโลยีระดับโลก ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสุขภาพสายตาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2567 (Roche APAC Vision Health 2024) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้สะท้อนภาพสถานการณ์ในประเทศไทยได้อย่างน่าตกใจและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ผลสำรวจพบว่า เกือบ 1 ใน 5 หรือราว 20% ของประชากรไทยในวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ ไม่เคยเข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ตัวเลขนี้ส่งผลให้ประเทศไทยครองอันดับหนึ่งในด้านการละเลยการตรวจสุขภาพตา เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมการสำรวจ ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น คือทัศนคติและความเชื่อที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย ข้อมูลจากการสำรวจชี้ว่า ประชากรไทยมากกว่า 93% มองว่าการสูญเสียการมองเห็น หรืออาการตาพร่ามัว เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มาพร้อมกับวัยชรา ความเชื่อดังกล่าวเป็นกำแพงสำคัญที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองและดูแลสุขภาพดวงตาอย่างจริงจัง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อาการผิดปกติทางการมองเห็นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงทางตาหลายชนิดที่สามารถป้องกันหรือชะลอการลุกลามได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ
“ดวงตา” กุญแจสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ถูกมองข้าม
สุขภาพดวงตาถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ การมองเห็นที่ดีช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระ มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม และรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ แต่ปัญหาสุขภาพตากลับกลายเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ลดทอนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุไทย ข้อมูลจากการคัดกรองผู้สูงอายุจำนวนกว่า 7 ล้านคนใน 12 เขตสุขภาพ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ปัญหาด้านการมองเห็นเป็นความเสื่อมถอยทางสุขภาพที่พบมากที่สุดในกลุ่มประชากรสูงวัย
นางสาวกอบกุล กวั่งซ้วน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ทัศนะว่า สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงปัญหาสุขภาพตา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต “ผู้สูงอายุมีรายจ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น การส่งเสริมให้พวกเขาและคนในครอบครัวเห็นถึงความสำคัญของการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การมองเห็นที่ลดลงไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของผู้สูงอายุเอง แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงครอบครัวและผู้ดูแลด้วย” นางสาวกอบกุลกล่าว
ผลสำรวจของโรชยังเผยให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ที่น่าสนใจระหว่างความรู้ความเข้าใจและการนำไปปฏิบัติ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยประมาณ 3 ใน 4 จะรับรู้ถึงความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ แต่กลับมีเพียงครึ่งหนึ่ง (50%) ของผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีเท่านั้นที่เข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำ ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพยายามหาแนวทางแก้ไขและส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง
นางสาวกอบกุลชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการว่า “พฤติกรรมของผู้สูงอายุที่มีครอบครัวและผู้ดูแลใกล้ชิด มักจะสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพตาได้ดีกว่า แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้สูงอายุที่เปราะบาง หรืออยู่ลำพัง อาจเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคในการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษา” ด้วยเหตุนี้ กรมกิจการผู้สูงอายุจึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางสายตา หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีปัญหา ให้เข้ารับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ให้ยาวนานที่สุด
นอกจากนี้ กรมกิจการผู้สูงอายุยังได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้สูงอายุทั่วประเทศ นางสาวกอบกุลกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ได้ส่งเสริมกิจกรรมผ่านการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุเกือบ 30,000 ชมรมทั่วประเทศ และกิจกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุกว่า 3,000 แห่ง กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการให้ความรู้และส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่างๆ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการ กฎหมายมรดก ด้านสุขภาพ รวมถึงด้านนันทนาการ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่หลากหลายและได้รับความรู้ที่เหมาะสมกับความสนใจ นอกจากนี้ เรายังเน้นย้ำให้ผู้สูงอายุมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง (Empowerment) สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ทำงานได้ตามศักยภาพ และลดการพึ่งพาลูกหลาน ซึ่งการมีสุขภาพตาที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้”
สัญญาณเตือนจากจักษุแพทย์: อย่าปล่อยให้อาการผิดปกติกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงภารดี คุณาวิศรุต จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอตา จากโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโรคตาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุไทยว่า “4 โรคตาหลักที่พบมากที่สุดในผู้สูงอายุในประเทศไทย ได้แก่ โรคต้อกระจก (Cataract), โรคเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Retinopathy), โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration หรือ AMD) และโรคต้อหิน (Glaucoma)”
ศ.พญ.ภารดี ชี้ว่า ผลการสำรวจของโรชที่พบว่ากว่า 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีปัญหาด้านการมองเห็นนั้น สอดคล้องกับข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นอย่างดี “ปัญหาที่น่ากังวลคือ ผู้สูงอายุจำนวนมากมักมองว่าอาการผิดปกติในการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นจุดดำลอยไปมา หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการอ่านหนังสือ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของวัย หรือเกิดจากการใช้งานสายตาหนัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคตาร้ายแรง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ในที่สุด”
หนึ่งในโรคตาที่น่าวิตกและส่งผลกระทบรุนแรงต่อการมองเห็นในผู้สูงอายุ คือ “โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม ชนิดที่มีเส้นเลือดงอกผิดปกติ” (Neovascular Age-related Macular Degeneration หรือ nAMD) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “โรคจอตาเสื่อมชนิดเปียก” ศ.พญ.ภารดี อธิบายว่า โรคนี้เกิดจากการที่มีเส้นเลือดผิดปกติงอกขึ้นมาใต้จอตาบริเวณจุดภาพชัด (Macula) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการมองเห็นรายละเอียด เส้นเลือดเหล่านี้มีความเปราะบาง สามารถรั่วซึมหรือแตกออกได้ง่าย ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวหรือเลือดใต้จอตา ส่งผลให้การมองเห็นส่วนกลางแย่ลงอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยอาจมีอาการตามัว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมองเห็นจุดดำบังอยู่ตรงกลางภาพ “ภาวะนี้ถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องระวังเป็นพิเศษในผู้สูงอายุ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ เพราะหากไม่ได้รับการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในระยะเวลาอันสั้น”
ปัจจุบัน มีแนวทางการรักษาโรค nAMD ที่หลากหลาย ซึ่งจักษุแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงความรุนแรงของโรคและปัจจัยอื่นๆ ประกอบกัน แนวทางการรักษาหลักๆ ได้แก่:
- การฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตา (Intravitreal Injection): เป็นการรักษามาตรฐานในปัจจุบัน โดยยาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยาต้านการเจริญเติบโตของเส้นเลือดผิดปกติ (Anti-VEGF) ซึ่งออกฤทธิ์ผ่านกลไกเดียว ช่วยลดการงอกใหม่ของเส้นเลือดและลดการรั่วซึม ทำให้การมองเห็นดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยาในกลุ่มนี้อาจใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วยบางราย หรืออาจต้องฉีดซ้ำบ่อยครั้งเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมยาฉีดเข้าน้ำวุ้นตา โดยมีการพัฒนายาที่สามารถยับยั้งได้ถึง 2 กลไกหลักของการเกิดโรค คือ กลไก VEGF และ Angiopoietin-2 (Ang-2) ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการงอกและการรั่วของเส้นเลือด แต่ยังช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือด ทำให้ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ลดความถี่ในการฉีดยาลงได้
- การใช้เลเซอร์ (Laser Therapy): วิธีนี้อาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคได้ในบางกรณี แต่โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การผ่าตัด (Surgery): เป็นทางเลือกที่พิจารณาในบางกรณีที่ซับซ้อน หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เลือดออกใต้จอตาปริมาณมาก แต่ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย
“ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ ผู้สูงอายุคิดว่าอาการตามัวหรือมองไม่ชัดเป็นเรื่องปกติของวัย หรือเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป ทำให้ละเลยการตรวจรักษา ทั้งที่อาการเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ เช่น ทำให้รับประทานอาหารลำบากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มจนได้รับบาดเจ็บ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะพึ่งพิง หรือกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้” ศ.พญ.ภารดี เน้นย้ำ “การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือรีบไปพบจักษุแพทย์ทันทีเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ในการมองเห็น จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคตาต่างๆ ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า และช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ดังนั้นแล้ว ผู้สูงอายุจึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการตรวจสุขภาพตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุและโรคตาอื่นๆ ที่พบได้บ่อย การตรวจพบเร็วและเริ่มต้นรักษาเร็ว คือกุญแจสำคัญในการรักษาการมองเห็นและคุณภาพชีวิตที่ดีไว้”
โรชผนึกกำลังภาคีเครือข่าย ยกระดับการดูแลสุขภาพตาเพื่อสังคมไทย
นายแมทธิว โคทส์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรช ไทยแลนด์ เมียนมาร์ กัมพูชา และลาว กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า “ไทยถือเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ ผลสำรวจของเราชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องสุขภาพกาย หากมีปัญหาสายตา ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยกว่าครึ่ง (57.8%) แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ขณะที่อีก 42.4% หวั่นเกรงว่าคุณภาพชีวิตโดยรวมจะลดลงอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงบั่นทอนสภาพจิตใจของผู้ป่วย แต่ยังนำมาซึ่งภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่ายา ค่าตรวจวินิจฉัย ค่ารักษาเฉพาะทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาเมื่อการมองเห็นบกพร่องจนต้องพึ่งพาผู้อื่นในการใช้ชีวิตประจำวัน”
ภาระดังกล่าวไม่ได้ตกอยู่กับผู้ป่วยเพียงลำพัง แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและผู้ดูแลอย่างมีนัยสำคัญ ผลสำรวจของโรชเผยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาทางสายตา (45.4%) ประสบปัญหาทางการเงินเนื่องมาจากการดูแล อีกทั้ง 33% มีรายได้ลดลง และ 36% มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างที่เกิดจากปัญหาสุขภาพตาที่ถูกละเลย
นายโคทส์เน้นย้ำว่า “การป้องกันปัญหาเหล่านี้ด้วยการพาผู้สูงอายุไปตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุและครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้” ด้วยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนของปัญหานี้ โรชจึงได้ริเริ่มความร่วมมือกับโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้ด้านสุขภาพตาแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพตา รวมถึงประชาชนทั่วไปและผู้สูงอายุในประเทศไทย ผ่านการสร้างสรรค์สื่อการเรียนรู้ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สะดวก เช่น โบรชัวร์ วิดีโอ และข้อมูลบนเว็บไซต์ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง
“เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับจักษุแพทย์และโรงพยาบาลพันธมิตรต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งเสริมให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของดวงตาและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาได้เมื่ออายุมากขึ้น เราต้องการกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใส่ใจตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น โดยอย่างช้าที่สุดควรเริ่มต้นตรวจเป็นประจำตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งนับเป็นข่าวดีที่ปัจจุบันภาครัฐได้มอบสิทธิประโยชน์ในการตรวจสุขภาพตาเบื้องต้นฟรีให้กับประชาชน ความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มุ่งหวังที่จะส่งเสริมสุขภาพตาที่ดีของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่โรชยังปรารถนาที่จะเห็นคนไทยทุกช่วงวัยมีสุขภาพตาที่ดี สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพและมีความสุข” นายแมทธิว กล่าวทิ้งท้าย
การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอดของประเทศไทย นำมาซึ่งความท้าทายมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการสร้างเสริมระบบการดูแลสุขภาพที่เข้มแข็งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น การดูแลสุขภาพดวงตาของผู้สูงอายุเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ แต่เป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การตระหนักรู้ถึงปัญหา การปรับเปลี่ยนทัศนคติ และการลงมือปฏิบัติด้วยการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ คือก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่ไม่จำเป็น ช่วยให้ผู้สูงอายุชาวไทยสามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมต่อไปได้อย่างยั่งยืน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.roche.co.th และ https://www.roche.co.th/solutions/focus-areas/ophthalmology
#สังคมสูงวัย #SuperAgedSociety #สังคมสูงอายุระดับสุดยอด #สุขภาพตา #โรคตา #จอตาเสื่อม #nAMD #ต้อกระจก #ต้อหิน #เบาหวานขึ้นตา #ตรวจสุขภาพตา #จักษุแพทย์ #โรชไทยแลนด์ #RocheThailand #กรมกิจการผู้สูงอายุ #คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ #เศรษฐกิจสูงวัย #การดูแลสุขภาพ #ข่าวเศรษฐกิจ #สาธารณสุขไทย