Trip.com เผยโฉม Trip.Best 2025 ชี้เทรนด์ท่องเที่ยวโลกยุค AI ขับเคลื่อน

Trip.com เผยโฉม Trip.Best 2025 ชี้เทรนด์ท่องเที่ยวโลกยุค AI ขับเคลื่อน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางการฟื้นตัวและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก Trip.com แพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำระดับโลก ได้เปิดเผยการจัดอันดับสุดยอดจุดหมายปลายทางและประสบการณ์การท่องเที่ยวประจำปีครั้งล่าสุด “Trip.Best 2025” ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางและแนวโน้มความต้องการของนักเดินทางทั่วโลกได้อย่างน่าสนใจ การจัดอันดับ “Top 100” ประจำปีนี้ ไม่เพียงแต่ครอบคลุมหมวดหมู่ยอดนิยมอย่าง ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหาร แต่ยังมาพร้อมกับการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มุ่งหวังที่จะเป็นคู่มือการเดินทางที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาประสบการณ์ที่ดีที่สุดในปี 2025 และปีต่อๆ ไป

การเปิดตัว Trip.Best 2025 ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Trip.com ในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์และทันสมัยแก่นักเดินทางทั่วโลก โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อกลั่นกรองสุดยอดประสบการณ์ในแต่ละด้านออกมา ซึ่งไม่เพียงช่วยให้นักเดินทางตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งในแง่ของความนิยมที่ยังคงอยู่ และเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้น อันมีนัยสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระดับมหภาค

นวัตกรรมใหม่ใน Trip.Best 2025: ขยายขอบเขตสู่ภูมิภาคและเจาะลึกธีมตามฤดูกาล

ความพิเศษของการจัดอันดับ Trip.Best ในปี 2025 คือการขยายขอบเขตการจัดอันดับให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดตัวการจัดอันดับระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรก ได้แก่ Trip.Best Europe 100 และ Trip.Best Americas 100 ซึ่งเข้ามาเสริมทัพการจัดอันดับเดิมอย่าง Trip.Best Global 100 และ Trip.Best Asia 100 การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความแตกต่างของแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละทวีป ทำให้นักเดินทางสามารถค้นหาข้อมูลที่เจาะจงกับภูมิภาคที่ตนสนใจได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Trip.com ยังได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยการเปิดตัวสองหมวดหมู่ย่อยตามธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ Water Fun ซึ่งรวบรวมสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสวนน้ำ ชายหาด หรือเกาะยอดนิยม และ Fall Views ที่คัดสรรจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดทั่วโลก การเพิ่มหมวดหมู่เฉพาะทางเหล่านี้ ตอบสนองต่อแนวโน้มความต้องการของนักเดินทางที่มองหากิจกรรมตามฤดูกาลที่ชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่การเล่นน้ำคลายร้อนในฤดูร้อน การชมดอกซากุระบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึงการดื่มด่ำกับสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ในหมวดหมู่ Fall Views สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเกือบจะครอง 10 อันดับแรกทั้งหมด ด้วยมนต์เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่อย่าง อาราชิยาม่า และวัดคิโยมิซึเดระ ในเกียวโต ขณะที่ประเทศจีนก็นำเสนอทัศนียภาพที่งดงามไม่แพ้กัน เช่น หมู่บ้านหวู่หยวน หวงหลิง ในมณฑลเจียงซี ที่มีชื่อเสียงด้านนาขั้นบันไดและสถาปัตยกรรมโบราณ หรือภูเขาชีเซีย ในเมืองหนานจิง ที่โดดเด่นด้วยป่าเมเปิลสีแดงเพลิง ส่วนในหมวดหมู่ Water Fun เกาะราชาใหญ่ของประเทศไทย และหาดจิมบารันในประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในลำดับต้นๆ ตอกย้ำความนิยมของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไฮไลต์ใหม่อีกประการที่น่าจับตามองคือ “Destinations for the Months” ซึ่งเป็นการจัดอันดับที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ช่วยให้นักเดินทางสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างสมบูรณ์แบบและตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างเช่น การแนะนำให้เดินทางไปชมดอกซากุระที่สวนสาธารณะยออีโด หรือขึ้นหอคอยเอ็นโซล (N Seoul Tower) ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในเดือนเมษายน หรือการไปเยือนวัดวาอารามอันงดงามท่ามกลางบรรยากาศฤดูหนาวและเทศกาลในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคม ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการวางแผน แต่ยังกระตุ้นการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ตลอดทั้งปี ส่งผลดีต่อการกระจายรายได้ในภาคการท่องเที่ยว

เจาะลึกหมวดหมู่ที่พัก: หรูหราคลาสสิกยืนหนึ่ง รีสอร์ทครอบครัวและโรงแรมมีสไตล์มาแรง

ในหมวดหมู่ที่พัก Trip.Best 2025 ได้ฉายภาพความนิยมที่หลากหลาย ตั้งแต่โรงแรมหรูระดับไอคอนในมหานครใหญ่ ไปจนถึงรีสอร์ทบรรยากาศสบายๆ ที่ตอบโจทย์ครอบครัว เห็นได้ชัดว่า กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ยังคงยืนหยัดในฐานะเมืองหลวงแห่งความหรูหรา โดยโรงแรมหลายแห่งในปารีสติดอันดับ Global 100 Luxury Hotels อย่างโดดเด่น นำโดย Hotel de Crillon, A Rosewood Hotel ที่คว้าอันดับ 1 ของโลกไปครอง ตามมาด้วยโรงแรมระดับตำนานอื่นๆ อย่าง Le Bristol Paris และ La Réserve Paris ที่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรก ขณะที่มหานครนิวยอร์กก็ไม่น้อยหน้า โดยมี Four Seasons Hotel New York Downtown และ The St. Regis New York ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกเช่นกัน

ที่น่าสนใจคือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์โรงแรมจากเอเชียยังคงปรากฏชัดเจน โดยมี Aman Tokyo ในกรุงโตเกียว และ Raffles Singapore ในสิงคโปร์ ติดอันดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพการบริการและการออกแบบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นอกเหนือจากความหรูหราแล้ว เทรนด์การท่องเที่ยวแบบครอบครัวกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ การจัดอันดับ Trip.Best 2025 ชี้ให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียเป็นผู้นำในด้านรีสอร์ทที่เป็นมิตรกับเด็ก (Family-Friendly Resorts) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตัวอย่างเช่น Atlantis Sanya ในประเทศจีน รีสอร์ทครบวงจรขนาดใหญ่ที่มอบความสนุกสนานทั้งสวนน้ำและกิจกรรมริมหาดสำหรับทุกคนในครอบครัว, Tokyo Disneyland Hotel ในประเทศญี่ปุ่น ที่มอบประสบการณ์ดิสนีย์อันน่าประทับใจแบบเต็มอิ่ม และ Atlantis, The Palm ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่นำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลกและการผจญภัยสำหรับครอบครัว รีสอร์ทเหล่านี้ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับการท่องเที่ยวที่เน้นความสะดวกสบายและความสนุกสนานร่วมกันของสมาชิกทุกวัยในครอบครัว ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ โรงแรมที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทัศนียภาพที่โดดเด่น (Cultural & Scenic Hotels) ก็กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น นักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้มองหาแค่ที่พัก แต่ต้องการประสบการณ์ที่ดื่มด่ำกับความเป็นท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพักในเรียวกังท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น หรือลอดจ์ซาฟารีสุดหรูในแอฟริกา ที่ผสมผสานความสะดวกสบายเข้ากับอัตลักษณ์เฉพาะตัวของจุดหมายปลายทางนั้นๆ

เทรนด์นี้ยังสะท้อนผ่านหมวดหมู่ “Instagrammable Hotels” หรือโรงแรมที่สวยงามเหมาะแก่การถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งโรงแรมที่มีดีไซน์โดดเด่นในเอเชียและยุโรปต่างพาเหรดกันติดอันดับสูง ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มีต่อการตัดสินใจเลือกเดินทางและเลือกที่พัก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือปรากฏการณ์ “White Lotus Effect” ที่นักท่องเที่ยวแห่ตามรอยซีรีส์ดังของ HBO ไปยัง Four Seasons Resort Koh Samui ในประเทศไทย, Four Seasons Resort Maui ที่ไวเลีย สหรัฐอเมริกา และ San Domenico Palace ในประเทศอิตาลี นอกจากนี้ ที่พักที่มีสไตล์โดดเด่นอย่าง Mai House Saigon ในเวียดนาม หรือ Good Nature Hotel ในเกียวโต ก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางในตัวเองสำหรับนักเดินทางยุคดิจิทัล

โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิลล่าส่วนตัวในบาหลี หรือชาเลต์สกีในสวิตเซอร์แลนด์ การจัดอันดับที่พักของ Trip.Best 2025 แสดงให้เห็นเทรนด์ที่ชัดเจนว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังมองหาประสบการณ์ที่พักที่น่าจดจำ มีธีมที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นความหรูหรา ความเป็นมิตรกับครอบครัว ทัศนียภาพที่สวยงาม หรือเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม มากกว่าเพียงแค่การมองหาสถานที่สำหรับพักผ่อนนอนหลับ

หมวดหมู่สถานที่ท่องเที่ยว: สวนสนุกยังแรง วัฒนธรรมไม่แผ่ว ประสบการณ์ตามฤดูกาลฮิตติดลมบน

การจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกประจำปี 2025 หรือ “Best Things to Do” แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่ไม่เสื่อมคลายของ สวนสนุกระดับโลก โดยเฉพาะในเอเชียและอเมริกาเหนือ ซึ่งครองตำแหน่งสูงสุดในลิสต์อย่างเหนียวแน่น หกในสิบอันดับแรกของแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกคือสวนสนุกชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Walt Disney World Resort ในสหรัฐอเมริกา, Universal Studios Japan, Shanghai Disney Resort และอื่นๆ สวนสนุกขนาดใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและผู้ที่แสวงหาความบันเทิง แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวในธีมปาร์คยังคงเป็นกระแสหลักระดับโลกที่มีพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมหาศาล

อย่างไรก็ตาม สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมก็ยังคงได้รับความนิยมไม่แพ้กัน พิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่าง พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) ในปารีส, พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ในปักกิ่ง และ พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) ในนครรัฐวาติกัน ยังคงติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในศิลปะ ประวัติศาสตร์ และมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงฝังรากลึกในหมู่นักเดินทาง

ในขณะเดียวกัน การจัดอันดับยังเผยให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อ กิจกรรมตามฤดูกาลและประสบการณ์เฉพาะทาง ดังที่กล่าวถึงในหมวดหมู่ใหม่ เช่น การเดินทางไปชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะเป็นในป่าแถบนิวอิงแลนด์ของสหรัฐอเมริกา หรือตามวัดวาอารามในญี่ปุ่น ได้กลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมประจำฤดูใบไม้ร่วงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เทรนด์นี้บ่งชี้ว่านักเดินทางยุคใหม่ต้องการประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับธรรมชาติและฤดูกาลมากขึ้น

หมวดหมู่ร้านอาหาร: ไฟน์ไดนิ่งระดับโลกแข่งเดือด อาหารท้องถิ่นสร้างชื่อ ร้านวิวสวยเสริมประสบการณ์

การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเดินทาง และการจัดอันดับร้านอาหารของ Trip.Best 2025 ก็ตอกย้ำความสำคัญนี้ โดยครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งระดับดาวมิชลิน ไปจนถึงร้านอาหารท้องถิ่นรสเลิศ และร้านอาหารที่มอบประสบการณ์และทัศนียภาพอันน่าจดจำ

ในหมวดหมู่ Global 100 Fine Dining ร้านอาหารในยุโรปยังคงโดดเด่น โดยมี Arpège ในปารีส และ Sketch (Lecture Room & Library) ในลอนดอน อยู่ในอันดับต้นๆ ร้านอาหารชื่อดังอื่นๆ ที่ติดอันดับสูงได้แก่ Per Se และ Le Bernardin ในนิวยอร์ก, DiverXO ในมาดริด ประเทศสเปน ขณะที่วงการอาหารในเอเชียก็กำลังก้าวขึ้นมาทัดเทียมบนเวทีโลกอย่างน่าจับตา โดยมี Sushi Saito ในโตเกียว และร้านอาหารไทยอย่าง “ศรณ์” (Sorn) ในกรุงเทพฯ ติดอันดับด้วย ซึ่งเป็นการยอมรับในระดับสากลถึงคุณภาพและนวัตกรรมของอาหารเอเชีย

สำหรับหมวดหมู่ “ร้านอาหารเพื่อวิวและประสบการณ์” (Scenic & Experiential Dining) ร้านอาหารบนตึกสูงในเกาหลีใต้และดูไบได้รับความนิยมอย่างสูงในการมอบประสบการณ์มื้อค่ำพร้อมทิวทัศน์อันงดงาม ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ตั้งแต่ร้านอาหารบนยอดตึก Burj Khalifa ในดูไบ ไปจนถึงร้าน Bicena ในกรุงโซล ร้านอาหารเหล่านี้ผสมผสานบรรยากาศอันน่าทึ่งเข้ากับศิลปะแห่งอาหารได้อย่างลงตัว

ในส่วนของร้านอาหารท้องถิ่น (Local Delights) ประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยโดดเด่นขึ้นมาในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับนักชิม โดยมีร้านอาหารยอดนิยมหลายแห่งติดอันดับสูง เช่น ร้าน Palm Beach Seafood ในสิงคโปร์ และร้าน “เจ๊โอว” (Jeh O Chula) ในกรุงเทพฯ วงการอาหารที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองประเทศยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตอกย้ำสถานะการเป็นศูนย์กลางอาหารที่สำคัญและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เบื้องหลัง Trip.Best 2025: พลังของ AI และข้อมูลเพื่อนักเดินทาง

หัวใจสำคัญของ Trip.Best 2025 คือกระบวนการคัดเลือกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งวิเคราะห์ปัจจัยหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนรีวิวจากผู้ใช้งานจริงที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว (Verified User Scores & Reviews) สถิติการค้นหา (Search Data) และข้อมูลการจอง (Booking Statistics) เพื่อคัดกรองเฉพาะประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมสูงสุด

กระบวนการนี้สร้างความสมดุลระหว่างความคิดเห็นของผู้ใช้งานจริงกับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม โดยพิจารณาเกณฑ์สำคัญต่างๆ ประกอบกัน เช่น คุณภาพการบริการ (Service Quality) ความนิยม (Popularity) ชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว (Reputation) และคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Features)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ การจัดอันดับที่น่าเชื่อถือ อิงตามข้อมูลเชิงลึก และให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง (Traveler-Centric) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารที่โดดเด่นและสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Trip.com ยังมีการอัปเดตลิสต์เหล่านี้ทุกเดือนตามรีวิวใหม่ๆ และแนวโน้มการจองล่าสุด เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดอันดับมีความทันสมัยและสะท้อนเทรนด์การท่องเที่ยวล่าสุดอยู่เสมอ

การจัดอันดับ Trip.Best ทั้งหมดนี้ ได้รับการเผยแพร่บนแพลตฟอร์มของ Trip.com ในหลากหลายภาษา ทำให้เข้าถึงนักเดินทางทั่วโลกที่กำลังมองหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกสรรประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดได้อย่างสะดวกสบาย นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การวางแผนและการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล

โดยสรุป Trip.Best 2025 ไม่เพียงแต่เป็นการจัดอันดับประจำปี แต่ยังเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของภูมิทัศน์การท่องเที่ยวโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยมีเทคโนโลยี AI และ Big Data เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความหรูหรา ความสนุกสนานสำหรับครอบครัว ไปจนถึงการสัมผัสวัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนและเฉพาะตัวมากขึ้นของนักเดินทางยุคใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ

#TripBest2025 #Tripcom #เทรนด์ท่องเที่ยว #จัดอันดับท่องเที่ยว #โรงแรมหรู #ท่องเที่ยวครอบครัว #ร้านอาหาร #สถานที่ท่องเที่ยว #เที่ยวตามฤดูกาล #ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม #ท่องเที่ยวเชิงอาหาร #AI #ข้อมูลการเดินทาง #เศรษฐกิจท่องเที่ยว #ข่าวเศรษฐกิจ

Related Posts