กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงแนวโน้มเครดิตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่รัฐควบคุมของประเทศไทยไว้ที่ระดับ “Stable” หรือ “คงที่” โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะยังคงมีเสถียรภาพ การเติบโตของอุปสงค์การใช้ไฟฟ้าในระยะปานกลาง และความมั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) กับการไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ ทั้งภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในอนาคต ความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน และความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและผลประกอบการ
ทริสเรทติ้งระบุว่า แม้การเติบโตของอุตสาหกรรมเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สินและอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในระยะกลาง แต่เสถียรภาพของผลการดำเนินงานโดยรวมของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนแนวโน้มอันดับเครดิต นอกจากนี้ สัญญา PPA ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังเป็นเกราะป้องกันความผันผวนของรายได้ และช่วยลดทอนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดจากการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศ
อุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัว รับอานิสงส์เศรษฐกิจ S-curve และ ยานยนต์ EV บูม
แนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทยมีทิศทางเติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวและขยายตัวของเศรษฐกิจ โดย ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรือ S-curve Industries ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการใช้ไฟฟ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 5 ปีข้างหน้า รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนอย่างแข็งขันในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เศรษฐกิจดิจิทัล การเกษตรสมัยใหม่ การแปรรูปอาหารมูลค่าสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเห็นผลเป็นรูปธรรมจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา
แม้ว่าผลของการลงทุนเหล่านี้จะส่งผลต่ออุปสงค์การใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ในระยะยาว เนื่องจากต้องใช้เวลาในการก่อสร้างโรงงานและขอใบอนุญาตต่างๆ ราว 5 ปี แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าอุตสาหกรรม S-curve จะสร้างความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต จากการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ ซึ่งต้องการการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การลงทุนจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Amazon และ Google ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง
นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนอุปสงค์การใช้ไฟฟ้า ปริมาณรถยนต์ EV จดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยด้านตลาดและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ราคา EV เข้าถึงง่ายขึ้น รวมถึงนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอุดหนุนราคา การลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคลที่ลงทุนใน EV และการส่งเสริมการผลิตในประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยผลิตรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573
แม้การใช้ไฟฟ้าต่อ EV หนึ่งคันอาจไม่สูงมากนัก แต่พฤติกรรมการชาร์จของผู้ใช้ที่มักกระจุกตัวในช่วงเวลาเดียวกัน อาจส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งคาดว่า การขยายตัวของการใช้ EV อย่างต่อเนื่องจะกดดันให้ระบบไฟฟ้าของประเทศต้องมีการพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและหลีกเลี่ยงภาวะอุปทานไฟฟ้าตึงตัวในช่วง Peak
พลังงานหมุนเวียน: เป้าหมายท้าทาย แต่โอกาสยังเปิดกว้าง
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นวาระสำคัญของประเทศไทย โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567 (PDP2024) จึงได้ตั้งเป้าหมายเชิงรุกในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) ให้สูงถึง 40% ภายในปี 2580 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12% (ข้อมูลปี 2567)
แผน PDP2024 คาดการณ์ว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมของประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แตะระดับเกิน 100 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี 2580 โดยในจำนวนนี้ จะมาจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 40 GW ซึ่งครอบคลุมทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (ทั้งบนดินและแบบลอยน้ำ) พลังงานลม พลังงานน้ำ ระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) พลังงานชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพลังงานจากขยะ
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง มองว่า ขนาดและอัตราการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP ดังกล่าว ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับอัตราการพัฒนาในอดีต การจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ จำเป็นต้องอาศัยการเปิดรับซื้อไฟฟ้าโครงการใหม่ๆ จากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนจำนวนมหาศาลจากภาคเอกชนอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมภายในกรอบเวลาที่กำหนด
ขยายการลงทุนต่างประเทศ: โอกาสกระจายความเสี่ยง แต่ต้องบริหารความท้าทาย
เพื่อลดการพึ่งพาตลาดในประเทศและแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ผู้ผลิตไฟฟ้าไทยหลายรายได้ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเวียดนาม โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าถ่านหินในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย การกระจายการลงทุนนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี แต่ยังเปิดโอกาสให้เข้าสู่ตลาดไฟฟ้าที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน เช่น ตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี (Merchant Market) ในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ดี การลงทุนในต่างประเทศย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่หลากหลายและซับซ้อนกว่า ทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ความเสี่ยงด้านตลาด โดยเฉพาะในตลาดเสรีที่รายได้ขึ้นอยู่กับกลไกราคาที่มีความผันผวนสูงกว่ารูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อรายเดียว (Single Buyer Model) ที่ใช้ในไทย และความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางแห่งยังมีความเสี่ยงด้านนโยบายและกฎระเบียบที่สูงกว่า ตัวอย่างเช่น การปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าและการเปลี่ยนสกุลเงินอ้างอิงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเวียดนามสำหรับโครงการที่ล่าช้า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในทางกลับกัน โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ที่มีสัญญา PPA กับ กฟผ. กลับถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แม้จะตั้งอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากมีโครงสร้างสัญญาที่มั่นคงและมีคู่สัญญาเป็นหน่วยงานภาครัฐไทยที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายในประเทศ: ปัจจัยกดดันการลงทุนและผลการดำเนินงาน
นอกเหนือจากความท้าทายภายนอกแล้ว ผู้ประกอบการไฟฟ้าไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนลงทุนและแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ประเด็นสำคัญคือ ความล่าช้าในการประกาศใช้แผน PDP ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งแม้จะมีการเผยแพร่ร่างแผนออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดความชัดเจนในทิศทางการลงทุนระยะยาว
ขณะเดียวกัน การลงนามในสัญญาโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ระยะที่ 2 (หรือ RE Big Lot Phase 2) ที่คัดเลือกผู้ชนะไปแล้ว ก็ยังคงมีความล่าช้าและเผชิญข้อพิพาท ทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการคัดเลือก เช่น บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL), บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO), บมจ.ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี (SCG), บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP), บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) และอื่นๆ ยังไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ตามแผน ซึ่งกระทบต่อการวางแผนการลงทุนและกระแสเงินสดในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับข้อเสนอในการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับโครงการเก่าที่ได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และ Adder ดังกล่าวได้ทยอยหมดอายุลง โดยปัจจุบัน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ Adder หมดอายุแล้วยังคงจำหน่ายไฟฟ้าในอัตราเดิม (เช่น ประมาณ 3.7 บาทต่อหน่วย) ซึ่งสูงกว่าอัตรา FiT ของโครงการใหม่ (ประมาณ 2.18 บาทต่อหน่วย) แนวคิดการปรับลดอัตราค่าไฟดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิต แต่ก็สร้างความกังวลอย่างมากให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และมูลค่าของโครงการเหล่านี้ ทริสเรทติ้งประเมินว่า หากมีการปรับลดอัตราค่าไฟจริง อาจส่งผลให้ EBITDA ของผู้ประกอบการที่มีโครงการ Adder หมดอายุจำนวนมากลดลงราว 10-15% ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2566 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนและคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการเจรจา ทริสเรทติ้งจึงยังไม่ได้ประเมินผลกระทบนี้ต่ออันดับเครดิตของผู้ประกอบการ
ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างความยากลำบากในการวางแผนลงทุน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าโครงการ ซึ่งอาจทำให้รายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากการขายสินทรัพย์ของผู้ผลิตไฟฟ้าบางรายที่ต้องการปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนลดลงได้
นัยต่ออันดับเครดิต: “คงที่” ท่ามกลางความท้าทาย – หนี้สูงขึ้น จับตาผู้เล่นรายย่อย
แม้จะต้องเผชิญกับปัจจัยลบและความท้าทายรอบด้าน ทริสเรทติ้งยังคงมุมมอง “Stable” หรือ “คงที่” ต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าที่รัฐควบคุม โดยคาดว่าผลการดำเนินงานที่มั่นคงของผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนใหญ่ และสัญญา PPA ระยะยาว จะยังคงเป็นปัจจัยค้ำจุนสำคัญ แม้ว่ารายได้รวมของอุตสาหกรรมอาจลดลงบ้างจากการทยอยสิ้นสุดของสัญญา PPA เดิมและการถอนการลงทุนในบางสินทรัพย์ แต่ผลกระทบดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ประกอบการรายย่อยบางรายอาจมีความเปราะบางมากขึ้นต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกฎระเบียบ โดยเฉพาะรายที่มีภาระหนี้สินสูงและต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องและความเสี่ยงในการกู้ยืมเงินใหม่ (Refinancing Risk)
ในภาพรวม คาดว่าระดับหนี้สินของอุตสาหกรรมจะยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปี 2569-2570 เนื่องจากบริษัทต่างๆ มีแผนขยายการลงทุนทั้งในต่างประเทศและในโครงการพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ซึ่งความต้องการเงินทุนจำนวนมากในช่วงขยายธุรกิจนี้ จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ของผู้ประกอบการโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
โดยสรุป อุตสาหกรรมไฟฟ้าที่รัฐควบคุมของไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ แม้จะมีโอกาสเติบโตจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวสู่พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนสูง และความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนและผลประกอบการในระยะต่อไป การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนโยบายและเทคโนโลยีจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้
#อุตสาหกรรมไฟฟ้า #พลังงาน #ทริสเรทติ้ง #แนวโน้มเครดิต #พลังงานหมุนเวียน #PDP2024 #การลงทุน #หนี้สิน #เศรษฐกิจไทย #รถยนต์ไฟฟ้า #SCurve #นโยบายพลังงาน #กฟผ #EGAT