คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ประชุมนัดแรก วางโรดแมปสร้างระบบนิเวศ AI ครบวงจร ตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน AI กว่า 10 ล้านคนใน 2 ปี ทุ่มงบ 5 แสนล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มุ่งยกระดับสาธารณสุข ท่องเที่ยว เกษตรกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตขั้นสูง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการวางรากฐานอนาคตประเทศไทย เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อพัฒนาประเทศไทย (บอร์ด AI แห่งชาติ) ครั้งที่ 1/2568 การประชุมครั้งปฐมฤกษ์นี้ มีเป้าหมายเพื่อกำหนดทิศทางและวางแนวทางการขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาคอาเซียน และที่สำคัญคือการใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพิจารณาและกำหนดแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลกได้อย่างทัดเทียม
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการฯ ได้เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการประชุมว่า คณะกรรมการฯ ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนากำลังคน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน AI “การสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจและทักษะด้าน AI ให้มีจำนวนเพียงพอ ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เราต้องเร่งดำเนินการ”
นายประเสริฐกล่าว พร้อมระบุถึงเป้าหมายที่ท้าทายแต่ชัดเจนว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี ประเทศไทยจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรที่เป็นผู้ใช้งาน AI (AI User) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 10,000,000 คน พัฒนาบุคลากรระดับผู้เชี่ยวชาญ AI (AI Professional) ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และสร้างนักพัฒนา AI (AI Developer) ที่มีความสามารถสูง ไม่น้อยกว่า 50,000 คน เป้าหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างฐานทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในอนาคต
นอกเหนือจากการพัฒนากำลังคนแล้ว คณะกรรมการฯ ยังได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา AI อย่างครบวงจร ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการสร้างระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ได้มาตรฐานระดับสากล การพัฒนาขีดความสามารถด้านการประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิกส์ (GPU) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฝึกฝนโมเดล AI ที่ซับซ้อน และการพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์แบบเปิด (Open Source AI Platform) เพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนาและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงและนำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างสะดวกและในราคาที่เหมาะสม
ยิ่งไปกว่านั้น คณะกรรมการฯ ยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ข้อมูล หรือ Data Bank เพื่อรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา AI ในสาขาต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ในส่วนของข้อมูลภาครัฐ มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2569 ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแหล่งข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่ที่มีคุณค่าสำหรับการนำไปพัฒนาต่อยอดด้วย AI อีกด้วย
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขนาดและความสำคัญของโครงการในการพลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศครั้งใหญ่นี้
ในด้านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม คณะกรรมการฯ ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยจะมุ่งเน้นในสาขาที่มีศักยภาพสูงและสามารถสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม สาขาหลักที่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ได้แก่ การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม
- ด้านการสาธารณสุข: การนำ AI มาประยุกต์ใช้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรค การพัฒนายาและวัคซีน การบริหารจัดการโรงพยาบาล และการดูแลผู้ป่วยส่วนบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต
- ด้านการท่องเที่ยว: AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการ การบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมการตลาดและการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและมูลค่าการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย
- ด้านเกษตรกรรม: การใช้เทคโนโลยี AI ในภาคการเกษตร หรือ AgriTech จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเพาะปลูก ตั้งแต่การวิเคราะห์สภาพดินและอากาศ การบริหารจัดการน้ำและปุ๋ย การตรวจจับโรคและแมลงศัตรูพืช ไปจนถึงการคาดการณ์ผลผลิต ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ลดต้นทุน และสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูงขึ้น นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในด้านการตลาดและการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคโดยตรง ทำให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่ดีขึ้น
คณะกรรมการฯ คาดการณ์ว่า การสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI ในสาขาเหล่านี้ จะส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพบริการสาธารณสุข ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน
เพื่อเป็นการเร่งรัดให้เกิดการนำ AI ไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรม รัฐบาลยังมีแผนที่จะสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ในแต่ละสาขา เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการการทำงานด้าน AI ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา อย่างเป็นระบบและมีทิศทางที่ชัดเจนต่อไป
การประชุม บอร์ด AI แห่งชาติ ครั้งแรกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวางรากฐานและกำหนดทิศทางการพัฒนา AI ของประเทศไทยอย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ คาดว่า AI จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทย นำไปสู่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในทศวรรษหน้า
#บอร์ดAIแห่งชาติ #ปัญญาประดิษฐ์ #AIประเทศไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #นโยบายAI #แพทองธารชินวัตร #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #ThailandAI #DigitalEconomy #AIPolicy #AIHub