รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งคุมเข้มแผนน้ำ 4 จังหวัดอีสานใต้ รับมือท่วม-แล้ง

รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งคุมเข้มแผนน้ำ 4 จังหวัดอีสานใต้ รับมือท่วม-แล้ง

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ลงพื้นที่อีสานตอนล่าง สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนบริหารจัดการน้ำรับมือฤดูฝนปี 2568 และภาวะภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นใน 4 จังหวัด ทั้งศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เน้นย้ำลดผลกระทบประชาชน พร้อมเร่งรัดโครงการด้านน้ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน สทนช. เผยปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำโดยรวมยังดีกว่าปีก่อน แต่เตรียมพร้อมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้ารับมือฝนหนักช่วงสิงหาคม-กันยายน

อิสาน, ประเทศไทย – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) นำทีมลงพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 14 ครอบคลุม 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และอำนาจเจริญ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 เพื่อติดตามและกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเน้นย้ำการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยและภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างเข้มข้น และเร่งรัดโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค สร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญในการลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 14 ครอบคลุมจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อประเมินสถานการณ์น้ำ รับฟังปัญหา และขับเคลื่อนนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ภารกิจในช่วงเช้าเริ่มต้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยนายประเสริฐได้เดินทางไปตรวจติดตามผลการดำเนินงาน “โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่” พื้นที่ 500 ไร่ ณ บ้านหนองจิก หมู่ 14 ตำบลหัวเรือ อำเภอเมืองอุบลราชธานี โครงการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ การพัฒนาน้ำบาดาลจะช่วยให้เกษตรกรมีแหล่งน้ำสำรองที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของปริมาณน้ำฝน และสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีนัยสำคัญ อันจะนำไปสู่การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่

จากนั้นในช่วงบ่าย นายประเสริฐได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเป็นประธานการประชุมหารือและรับฟังรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ณ โครงการชลประทานศรีสะเกษ อำเภอเมืองศรีสะเกษ การประชุมครั้งนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 14 ทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เข้าร่วมรายงานปัญหาและความต้องการของแต่ละจังหวัดอย่างละเอียด นอกจากนี้ นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อประเมินสภาพความเป็นจริงและรับฟังเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่โดยตรง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เปิดเผยถึงเจตนารมณ์ของการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า “การลงพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 14 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการด้านน้ำจากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดโดยตรง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รัฐบาลชุดนี้ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นอย่างมาก และถือเป็นภารกิจจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากทรัพยากรน้ำมีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ทั้งในด้านการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทุกระดับ”

รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยมอบหมายให้ สทนช. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการความร่วมมือกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเต็มกำลัง และเตรียมแผนเผชิญเหตุสำหรับพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือพื้นที่เปราะบางอย่างเข้มข้นเป็นพิเศษ ซึ่งรวมถึงการวางแผนใช้กลไกของศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ทำงานร่วมกับกลไกของคณะกรรมการลุ่มน้ำ ในการบูรณาการข้อมูล การวิเคราะห์สถานการณ์ และการติดตามแก้ไขปัญหา เพื่อให้สามารถเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ประเสริฐ

พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยให้ความสำคัญกับการชะลอน้ำหลากในช่วงฤดูฝน เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัย และขณะเดียวกันก็ต้องวางแผนกักเก็บน้ำไว้ให้เพียงพอสำหรับความต้องการในช่วงฤดูแล้งถัดไป เพื่อสร้างสมดุลในการใช้น้ำตลอดทั้งปี

“นอกจากมาตรการเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการแล้ว การสื่อสารกับประชาชนก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง” นายประเสริฐกล่าวเสริม “ผมได้มอบหมายให้จังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ เร่งขับเคลื่อนกระบวนการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวและปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้”

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รองนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆ ที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณในแผนงานโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันทีตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อให้การรับมืออุทกภัยและภัยแล้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในระยะยาว แต่ยังก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอีกด้วย

สถานการณ์น้ำปัจจุบัน:

ด้าน นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมของ สทนช. ว่า “รัฐบาลมีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีโอกาสเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ซึ่งย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยงที่อาจเกิดสถานการณ์อุทกภัยได้ สทนช. จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จัดเตรียมแผนล่วงหน้าและดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและยับยั้งการเกิดเหตุ หรือบรรเทาความรุนแรงของผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด”

สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ ของ 4 จังหวัดอีสานตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี จากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีจำนวนอ่างเก็บน้ำทั้งสิ้น 6,703 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวมอยู่ที่ 1,360.06 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุเก็บกักทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณน้ำที่มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง ในพื้นที่ดังกล่าวมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 1 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันการระบายน้ำยังคงเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และมีการติดตามสภาวะอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายน้ำให้เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม สทนช. ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมประสานการปรับแผนการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยมีการคาดการณ์ว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่มักจะมีปริมาณฝนตกชุก ในพื้นที่ 4 จังหวัดข้างต้น อาจมีปริมาณฝนค่อนข้างมาก ส่งผลให้ปริมาณน้ำจากแม่น้ำชีที่ไหลมาบรรจบรวมกับปริมาณน้ำในลำน้ำมูลมีระดับสูงขึ้น จนอาจเกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำตลอดแนวลำน้ำได้ นอกจากนี้ สภาพลำน้ำในเขตชุมชนเมืองบางแห่งที่อาจมีข้อจำกัดในการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจส่งผลให้เกิดน้ำหลากไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ชุมชนได้เช่นกัน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สทนช. จึงได้วางแผนเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย โดยสำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้กำหนดจุดจัดตั้งไว้ 3 แห่ง คือ ที่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครพนม นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้อีกด้วย

ศูนย์เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการคาดการณ์และวิเคราะห์สภาพอากาศ ปริมาณน้ำ และพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำไปยังประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมทั้งอำนวยการ ติดตาม และตรวจสอบการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เพื่อให้สามารถป้องกันและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด

การลงพื้นที่และการสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอย่างจริงจัง ทั้งในระยะสั้นเพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า และในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเกษตรกรรมและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ การบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพจึงไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนในพื้นที่อีกด้วย

#รองนายกประเสริฐ #บริหารจัดการน้ำ #อีสานตอนล่าง #ภัยแล้ง #น้ำท่วม #กระทรวงดีอี #สทนช #เศรษฐกิจฐานราก #อุบลราชธานี #ศรีสะเกษ #ยโสธร #อำนาจเจริญ #รัฐบาลเพื่อประชาชน #กนช #น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร #ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า

Related Posts