รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ลงพื้นที่อุบลราชธานี ติดตาม “Thailand Zero Dropout” ผลักดันนโยบาย “Learn to Earn” สร้างโอกาสเด็กนอกระบบกลับสู่การเรียนรู้พร้อมทักษะอาชีพ ชูอุบลฯ พื้นที่นำร่องความร่วมมือทุกภาคส่วน สร้างการศึกษายืดหยุ่น เรียนได้ทุกที่ มีรายได้ มีวุฒิ ตั้งเป้าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อุบลราชธานี, ประเทศไทย – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ระดับชาติ ได้เดินทางลงพื้นที่โรงเรียนวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ ‘Thailand Zero Dropout’ และขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ‘Learn to Earn’ อย่างเป็นรูปธรรม การลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดประตูแห่งโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา สามารถกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับการฝึกฝนทักษะอาชีพ สร้างรายได้ และได้รับวุฒิการศึกษา อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคง
การประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในจังหวัดอุบลราชธานีอย่างคับคั่ง นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี, ศึกษาธิการจังหวัด, สภาหอการค้าจังหวัด, ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC), ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน, สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน, สภาการศึกษาจังหวัด, องค์กรพัฒนาเอกชน, สภาเด็กและเยาวชน, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเยาวชนของจังหวัด
อุบลฯ พบเด็กนอกระบบเกือบ 2 หมื่นคน รัฐบาลลั่นไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เปิดเผยว่า “จังหวัดอุบลราชธานีมีเด็กและเยาวชนช่วงอายุ 3–18 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษาจำนวน 19,378 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามของทุกภาคส่วน ขณะนี้สามารถติดตามตัวเด็กกลุ่มดังกล่าวได้เกือบทั้งหมดแล้ว รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะไม่ทิ้งเด็กและเยาวชนกลุ่มใดไว้ข้างหลัง
การจะช่วยเหลือลูกหลานชาวอุบลราชธานีให้กลับมาเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยระบบการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะอาชีพและการสร้างรายได้จริง ด้วยเหตุนี้ เราจึงผลักดันแนวคิด ‘Learn to Earn’ อย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กๆ มีอนาคตที่สดใส สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา มีรายได้ระหว่างเรียน มีวุฒิการศึกษา และเติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาจังหวัดอุบลราชธานีต่อไป”
4 มาตรการหลักขับเคลื่อน “Learn to Earn” ทั่วประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญในการสร้างระบบการทำงานเชิงรุกในระดับพื้นที่ โดยปัจจุบัน ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานครบถ้วนแล้ว ซึ่งคณะทำงานนี้จะเป็นกลไกหลักในการบูรณาการความร่วมมือของภาคีทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถเข้าถึงและให้ความช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาสทุกคนได้อย่างตรงจุดและเหมาะสมกับบริบทชีวิตของแต่ละคน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนด 4 มาตรการหลัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ได้แก่:
- การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน: สร้างระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อให้การติดตามและส่งต่อความช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน
- การบูรณาการการช่วยเหลือรายกรณี โดยใช้พื้นที่เป็นฐาน (Area-based and Case Management): เน้นการทำงานร่วมกันของหน่วยงานในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบการช่วยเหลือที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กแต่ละราย
- การจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตามโจทย์ชีวิตของเด็กแต่ละคน: พัฒนาหลักสูตรและรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ การเรียนรู้ผ่านการทำงาน การเทียบโอนประสบการณ์ เพื่อให้เด็กสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตามความถนัดและเงื่อนไขชีวิต
- การเรียนรู้ควบคู่กับการมีรายได้ (Learn to Earn): ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้ฝึกทักษะอาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการ มีรายได้ระหว่างการเรียนรู้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างแรงจูงใจในการศึกษาต่อ
พัฒนาแพลตฟอร์มกลาง “Learn to Earn” เชื่อมโยงการศึกษา-อาชีพ
นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แพลตฟอร์มกลาง ‘Learn to Earn’ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการศึกษา หลักสูตรการฝึกอบรม และการจับคู่ตำแหน่งงาน โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยศูนย์ดิจิทัลชุมชน ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.), กระทรวงศึกษาธิการ, กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.), สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน), ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงโอกาสที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของพวกเขาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีคุณภาพในอนาคต”
“ผมขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กและเยาวชนของเรา ไม่ให้พวกเขาหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะเราทุกคนเป็นเจ้าของเรื่องนี้ร่วมกัน ขอให้การพบกันในวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานี ภารกิจของเราไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่การตามหาเด็กที่หลุดจากระบบ แต่คือการร่วมกันสร้างเส้นทางใหม่ ที่จะนำพาทุกคนกลับเข้าสู่การเรียนรู้ มีเป้าหมายในชีวิตที่มั่นคง และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวอย่างหนักแน่น
อุบลราชธานี พื้นที่ต้นแบบความร่วมมือหลากหลายมิติ
ในโอกาสนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ยังได้เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ จากศูนย์การเรียนต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จของการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการยกย่องให้เป็น พื้นที่ต้นแบบ (Model Province) ที่มีความโดดเด่นด้านความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วนในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับชีวิตจริงและความต้องการของผู้เรียน ผ่านโมเดลการจัดการศึกษาที่สร้างสรรค์และหลากหลายรูปแบบ อาทิ:
- ‘โรงเรียนน้อย’ หรือ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ: ดำเนินการโดยโรงเรียนวารินชำราบ เป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมเด็กทุกกลุ่ม
- ห้องเรียนสร้างโอกาสสำหรับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม: โดยศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนอุบลราชธานี และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ไม่พลาดโอกาสทางการศึกษาและสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ
- ‘ห้องเรียนหมอลำ’: โดยมูลนิธิปัญญากัลป์ เป็นการนำศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นเครื่องมือในการสร้างการเรียนรู้ ทักษะชีวิต และส่งเสริม Soft Power ของชุมชน
- ห้องเรียนห้องสมุดบ้านหนังสือช่องเม็ก: เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลและบริเวณชายแดน ได้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
- การใช้กีฬาฟุตบอลเป็นสื่อกลาง: สร้างพื้นที่ปลอดภัยและส่งเสริมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน โดยสภาเด็กและเยาวชนตำบลเก่าขาม และกลุ่ม CYC&The Gang
เชื่อมโยง “Learn to Earn” กับศักยภาพเศรษฐกิจอุบลฯ
นายประเสริฐได้กล่าวถึงศักยภาพอันโดดเด่นของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ความงดงามของแม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล ความเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมถึงการเป็นจุดยุทธศาสตร์ของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย–ลาว–กัมพูชา
“ศักยภาพเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับแนวทางการพัฒนาอาชีพภายใต้นโยบาย ‘Learn to Earn’ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการบริการสุขภาพ การค้าชายแดน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผมจึงอยากเชิญชวนสภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) ของอุบลราชธานี ซึ่งผมทราบดีว่ามีความเข้มแข็งอย่างมาก ให้มาร่วมกันพิจารณาและออกแบบทิศทางการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนฐานทุนเดิมของจังหวัดได้อย่างยั่งยืนและแท้จริง” นายประเสริฐกล่าวทิ้งท้าย
การขับเคลื่อนนโยบาย “Learn to Earn” ในจังหวัดอุบลราชธานี และการขยายผลไปทั่วประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างโอกาสที่เท่าเทียม และพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
#LearntoEarn #ThailandZeroDropout #อุบลราชธานีโมเดล #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #การศึกษายืดหยุ่น #พัฒนาทุนมนุษย์ #เศรษฐกิจอุบลราชธานี #เด็กนอกระบบการศึกษา #สร้างโอกาสสร้างอนาคต