รัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบ! ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ รองนายกฯ และ รมว.ดีอี คุมบังเหียน คกก.อำนวยการฯ เคาะแผนขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) ตั้งเป้าสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพกว่า 6.9 แสนล้านบาท หรือ 3.39% ของ GDP ภายในปี 2568 ผ่าน 6 คณะกรรมการหลัก พร้อมชูการแพทย์ครบวงจร นวัตกรรม ATMPs บริการเฉพาะทาง และภูมิปัญญาไทย หวังยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและดึงดูดเม็ดเงินจากทั่วโลก สร้างความมั่นคงทางสุขภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ประเทศไทยกำลังเดินหน้าครั้งสำคัญเพื่อยกระดับสถานะของตนเองบนเวทีโลกในฐานะ “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” (Wellness and Medical Service Hub) ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบภายใต้การนำของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายที่ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ แต่ยังมุ่งหวังที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล เพิ่มรายได้เข้าประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างยั่งยืน ความทะเยอทะยานนี้ถูกตอกย้ำด้วยตัวเลขเป้าหมายที่ท้าทาย คือการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 690,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.39% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี พ.ศ. 2568
‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ นำทีมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) ซึ่งท่านเป็นประธาน โดยการประชุมดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ. 2566–2577)
รองนายกรัฐมนตรีฯ ประเสริฐ กล่าวว่า “คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) ยังมีความเห็นชอบว่า การขับเคลื่อนนโยบาย Wellness and Medical Service Hub อย่างเป็นระบบจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ เพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างยั่งยืน” คำกล่าวนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและทิศทางที่ชัดเจนของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพของไทย
เจาะลึก 6 เสาหลัก ปั้นฮับสุขภาพครบวงจร
ที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ได้รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสุขภาพในมิติต่างๆ และมีมติเห็นชอบโครงการดำเนินงานกลุ่มหลักภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ 6 คณะ ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักที่จะค้ำจุนและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติอย่างแท้จริง ได้แก่:
-
Medical Service Hub (ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์): เสาหลักนี้มุ่งเน้นการยกระดับบริการทางการแพทย์ของไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการรักษาพยาบาลเฉพาะทางที่มีความซับซ้อน โรงพยาบาลและสถานพยาบาลของไทยที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและมาตรฐานสากลจะได้รับการส่งเสริมให้เป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับผู้ป่วยจากทั่วโลกที่ต้องการการรักษาที่มีประสิทธิภาพในราคาที่สมเหตุสมผล ครอบคลุมตั้งแต่การรักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ไปจนถึงการผ่าตัดที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญขั้นสูง การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ จะเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
-
Wellness Hub (ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ): ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการที่เน้นการดูแลแบบองค์รวมอยู่แล้ว เสาหลักนี้จะต่อยอดจุดแข็งดังกล่าวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยส่งเสริมบริการที่เน้นการป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ และการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงธุรกิจสปา รีสอร์ทเพื่อสุขภาพ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และโปรแกรมสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ผสมผสานภูมิปัญญาไทยเข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามและวัฒนธรรมการบริการที่เป็นเลิศของไทย จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพและมีกำลังซื้อสูง
-
Product Hub (ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์สุขภาพ): เสาหลักนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาจากสมุนไพร เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเน้นการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ไทย การส่งเสริมมาตรฐานการผลิตให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทย จะช่วยขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง
-
Academic Hub (ศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์): การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีคุณภาพ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นรากฐานสำคัญของการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เสาหลักนี้จึงมุ่งส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การฝึกอบรม และการวิจัยทางการแพทย์ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ดึงดูดนักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัยจากต่างประเทศเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการแพทย์และสาธารณสุขของไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
-
Health Convention and Exhibition Hub (ศูนย์กลางการจัดงานประชุมและนิทรรศการสุขภาพนานาชาติ): การเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุม สัมมนา และนิทรรศการด้านสุขภาพและการแพทย์ระดับนานาชาติ จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพ นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยสู่สายตาชาวโลก เสาหลักนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการจัดงานขนาดใหญ่ รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อดึงดูดงานสำคัญๆ มาจัดในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วน MICE (Meetings, Incentives, Conventions, Exhibitions) ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
-
Facilitation of Health Service and Product Businesses (ศูนย์กลางอำนวยความสะดวกธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพ): เพื่อให้การขับเคลื่อนทั้ง 5 เสาหลักข้างต้นเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ใช้บริการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เสาหลักนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน การจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) การส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เช่น การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าสำหรับผู้ป่วยและผู้ติดตาม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
กลยุทธ์เด่น: นวัตกรรม บริการเฉพาะทาง และภูมิปัญญาไทย
นอกจากการขับเคลื่อนผ่าน 6 คณะกรรมการหลักแล้ว ที่ประชุมยังได้หารือถึงกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยเติบโตอย่างครบวงจรและยั่งยืน ประกอบด้วย:
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและนวัตกรรมขั้นสูง: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลิตภัณฑ์ยาประเภทให้การบำบัดขั้นสูง” หรือ Advanced Therapy Medicinal Products (ATMPs) ซึ่งรวมถึงการบำบัดด้วยยีน (Gene Therapy) การบำบัดด้วยเซลล์ (Cell Therapy) และวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (Tissue Engineering) การมุ่งเน้นพัฒนา ATMPs แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการแพทย์แห่งอนาคต ซึ่งจะสามารถรักษาโรคที่ซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การยกระดับบริการสุขภาพเฉพาะทาง: ประเทศไทยมีความโดดเด่นในบริการสุขภาพเฉพาะทางหลายด้าน และมีแผนที่จะยกระดับบริการเหล่านี้ให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกมากยิ่งขึ้น ได้แก่:
- เวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Medicine): ทั้งศัลยกรรมความงามและบริการดูแลผิวพรรณต่างๆ ซึ่งไทยมีชื่อเสียงด้านฝีมือของแพทย์ ความทันสมัยของเทคโนโลยี และราคาที่แข่งขันได้
- การรักษาภาวะมีบุตรยาก (In Vitro Fertilization – IVF): เป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ด้วยมาตรฐานการรักษาที่สูงและอัตราความสำเร็จที่น่าพอใจ
- การผ่าตัดแปลงเพศ (Gender Reassignment Surgery): ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกสำหรับบริการนี้ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนาน
- การส่งเสริมภูมิปัญญาไทย: การนำองค์ความรู้และมรดกทางวัฒนธรรมด้านสุขภาพของไทยมาประยุกต์ใช้และพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับศูนย์กลางสุขภาพของไทย ไม่ว่าจะเป็น:
- การแพทย์แผนไทย: ศาสตร์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่มีมาแต่โบราณ ทั้งการตรวจวินิจฉัยโรค การใช้ยาสมุนไพร และหัตถการต่างๆ
- สมุนไพรไทย: ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ทำให้ไทยมีพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
- การนวดไทย: ศาสตร์การนวดที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติโดย UNESCO ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เศรษฐกิจเติบโต คุณภาพชีวิตดีขึ้น
การผลักดันนโยบาย Wellness and Medical Service Hub อย่างจริงจังและเป็นระบบ คาดว่าจะนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทย ไม่เพียงแต่การสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 6.9 แสนล้านบาทภายในปี 2568 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ยังรวมถึงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ยกระดับทักษะของบุคลากรในอุตสาหกรรมสุขภาพ กระตุ้นการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน และที่สำคัญที่สุดคือการเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ ทำให้ประชาชนชาวไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและทันสมัยได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งและรุ่งเรืองให้กับอุตสาหกรรมสุขภาพของไทย และตอกย้ำความเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” ที่ทั่วโลกให้การยอมรับอย่างแท้จริง.
#ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ #WellnessHub #MedicalServiceHub #เศรษฐกิจสุขภาพ #กระทรวงดีอี #ประเสริฐจันทรรวงทอง #การแพทย์ไทย #ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ #นวัตกรรมการแพทย์ #ATMPs #IVF #เวชศาสตร์ความงาม #แพทย์แผนไทย #สมุนไพรไทย #นวดไทย #GDP #ThailandMedicalHub