“รองนายกฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ลงพื้นที่กาฬสินธุ์ ตรวจเยี่ยมโครงการบริหารจัดการน้ำด้วยตนเอง กำชับทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือสภาวะฝนทิ้งช่วงอย่างเข้มข้น สั่งเร่งปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำ ควบคุมการระบายน้ำอ่างลำปาว พร้อมอนุมัติงบประมาณหลายร้อยล้านบาท เดินหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ สร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร บรรเทาผลกระทบภัยแล้ง หนุนเศรษฐกิจจังหวัดกาฬสินธุ์ยั่งยืน
กาฬสินธุ์, ประเทศไทย – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการที่ 12 โดยภารกิจสำคัญในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งและสภาวะฝนทิ้งช่วงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ในช่วงเช้าของการปฏิบัติภารกิจ นายประเสริฐและคณะได้เดินทางไปยังหนองหมาจอก ในเขตเทศบาลตำบลยางตลาด ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ควบคู่ไปกับการยกระดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอ อันจะนำมาซึ่งโอกาสทางเศรษฐกิจและการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน จากนั้น คณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการขุดลอกหนองคำยิ่งหมี ณ บ้านคำยิ่งหมี หมู่ที่ 4 ตำบลนามน อำเภอนามน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูฝน รวมถึงเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับชุมชนในฤดูแล้ง
ต่อมาในช่วงสาย นายประเสริฐได้เป็นประธานในการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาด้านน้ำของจังหวัดกาฬสินธุ์ ณ ที่ว่าการอำเภอห้วยผึ้ง โดยมีนายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน ประเมินความเสี่ยง และบูรณาการแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้กล่าวในที่ประชุมและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า “รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสภาวะฝนทิ้งช่วง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนและภาคการเกษตรได้ การลงพื้นที่ในวันนี้ จึงมีเป้าหมายหลักเพื่อกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้บูรณาการการทำงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ”
รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายภารกิจสำคัญหลายประการ โดยเน้นย้ำให้ สทนช. ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทานในการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และบริหารจัดการการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำลำปาว ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และเป็นหัวใจสำคัญของจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นหากมีฝนตกหนัก และในขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้เพียงพอสำหรับใช้ในฤดูแล้งถัดไป ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันภัยพิบัติและการสร้างความมั่นคงด้านน้ำ
“สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น ขอให้จังหวัดกาฬสินธุ์และหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยและสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที ส่วนโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมของโครงการ จัดทำรายละเอียด และเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ” นายประเสริฐกล่าวเสริม
นอกจากนี้ นายประเสริฐยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับแหล่งน้ำในระดับต่างๆ ตั้งแต่จังหวัด กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ไปจนถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เร่งสำรวจ ตรวจสอบ และดำเนินการซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก บ่อบาดาล รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความรับผิดชอบ ให้มีสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดได้อย่างทั่วถึง รองนายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสาร โดยให้จังหวัดสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์น้ำ แนวทางการบริหารจัดการ และมาตรการต่างๆ ของภาครัฐให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวและปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นายประเสริฐพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยังพื้นที่อำเภอกุฉินารายณ์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญอีกหลายโครงการ ได้แก่ โครงการฝายห้วยนาครูแก้ว (ตอนล่าง) ณ บ้านแจนแลน ตำบลแจนแลน และโครงการฝายห้วยหลักทอด (ตอนล่าง) ณ บ้านกกตาล ตำบลบัวขาว การตรวจเยี่ยมโครงการเหล่านี้เป็นการตอกย้ำถึงความใส่ใจของรัฐบาลในการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กให้กระจายตัวครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
ทางด้านนางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี และท่านรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการน้ำในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายของแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่มุ่งหวังให้ประชาชนทุกครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอและทั่วถึง”
นางพัชรวีร์กล่าวต่อไปว่า สทนช. ในฐานะหน่วยงานกลางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการเสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ซึ่งในส่วนของพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการไปแล้วจำนวน 138 โครงการ คิดเป็นวงเงินงบประมาณรวม 147 ล้านบาท เมื่อโครงการเหล่านี้ดำเนินการแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเพิ่มความจุกักเก็บน้ำได้ถึง 4.31 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีพื้นที่รับประโยชน์จากการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น 770 ไร่ และมีประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงไม่น้อยกว่า 1,586 ครัวเรือน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
“นอกเหนือจากโครงการที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว สทนช. ยังได้ดำเนินการกลั่นกรองแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำที่หน่วยงานต่างๆ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อีกด้วย” นางพัชรวีร์ให้ข้อมูล
“สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ มีโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองเบื้องต้นจำนวน 106 รายการ วงเงินงบประมาณที่เสนอขอรวม 718 ล้านบาท หากโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติและดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้อีกประมาณ 2.60 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์เพิ่มขึ้นถึง 7,300 ไร่ พื้นที่ที่ได้รับการป้องกันจากปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งครอบคลุม 7,221 ไร่ และคาดว่าจะมีประชาชนได้รับประโยชน์มากถึง 15,529 ครัวเรือน”
ตัวอย่างโครงการสำคัญที่อยู่ในแผนปฏิบัติการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ โครงการปรับปรุงฝายลำพะยังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการที่สืบสานพระราชปณิธานในการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อช่วยเหลือราษฎร, โครงการปรับปรุงและเพิ่มกำลังการผลิตระบบผลิตน้ำประปาพร้อมระบบกรองแบบอัตโนมัติ WATER TECH ณ บ้านถ้ำปลา หมู่ที่ 11 ตำบลสหัสขันธ์ อำเภอสหัสขันธ์ ที่จะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่มีน้ำประปาที่สะอาดและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และโครงการก่อสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสีย เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียในเขตเมือง ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม
การลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีและคณะในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการติดตามความคืบหน้าของโครงการต่างๆ และการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดกาฬสินธุ์และทั่วประเทศ ให้สามารถรับมือกับความท้าทายจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน การบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลโดยตรงต่อภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ รวมถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ ลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนโดยทั่วไป อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสมดุลในระยะยาว
#รองนายกประเสริฐ #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กาฬสินธุ์ #บริหารจัดการน้ำ #ฝนทิ้งช่วง #ภัยแล้ง #อ่างเก็บน้ำลำปาว #สทนช #กระทรวงดีอี #รัฐบาลเพื่อประชาชน #น้ำคือชีวิต #เศรษฐกิจกาฬสินธุ์ #พัฒนาแหล่งน้ำ