ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผนึกกำลัง สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) พร้อมด้วยพันธมิตรภาคธุรกิจผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล และหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เปิดตัวแคมเปญยิ่งใหญ่ “DPS Trust Every Click” ภายใต้แนวคิด ‘รวมพลังต้านภัยสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย-ไร้มาตรฐาน’ เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมรับมือสถานการณ์ปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ยา และเวชภัณฑ์ ชู 4 กลไกหลัก ‘ยกระดับมาตรฐานแพลตฟอร์ม-บังคับใช้กฎหมายจริงจัง-เสริมความรู้ผู้บริโภค-ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกลาง’ เป็นธงนำในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นับเป็นก้าวสำคัญของวงการอีคอมเมิร์ซไทย เมื่อ ETDA และ สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) ได้ริเริ่มแคมเปญ “DPS Trust Every Click” โดยจัดกิจกรรมประเดิมภายใต้แนวคิด ‘รวมพลังต้านภัยสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย–ไร้มาตรฐาน’ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กิจกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีกลางในการระดมสมอง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแสวงหาแนวทางความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ และเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่แพร่หลายอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในปัจจุบัน
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เปิดเผยถึงความสำคัญของแคมเปญนี้ว่า “ETDA ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของผู้บริโภคจากการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ผิดกฎหมายและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียหายทางการเงิน แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แคมเปญ ‘DPS Trust Every Click’ จึงถูกออกแบบมาเพื่อผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในฐานะผู้กำกับดูแล ภาคประชาสังคมในฐานะผู้เฝ้าระวัง และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในฐานะผู้ควบคุมช่องทางการซื้อขาย เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย ลดช่องโหว่ของสินค้าหลอกลวง และเสริมสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจออนไลน์”
หนึ่งในหัวใจสำคัญของแคมเปญนี้ คือการผลักดันให้เกิดกลไกการกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulation) ในกลุ่มผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดย ETDA ได้จัดทำเครื่องมือสำคัญภายใต้กฎหมายว่าด้วยการบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform Services หรือ DPS) ซึ่งประกอบด้วย 4 คู่มือหลัก พร้อมให้ทุกภาคส่วนนำไปประยุกต์ใช้งาน ได้แก่ คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการ, คู่มือการดูแลโฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล, คู่มือการดูแลการจำหน่ายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม และ ขมธอ. 32-2565 ว่าด้วยการรวบรวม กลั่นกรอง และเผยแพร่รีวิวของผู้บริโภคบนช่องทางออนไลน์ เครื่องมือเหล่านี้จะเป็นแนวทางปฏิบัติกลางที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการของแพลตฟอร์ม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
สถานการณ์ปัญหาและความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
ภายในงานเปิดตัวแคมเปญ ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “พื้นที่ออนไลน์ปลอดภัย ภูมิคุ้มกันใหญ่ที่ต้องร่วมสร้าง” โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วม อาทิ สภาองค์กรของผู้บริโภค, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำ
วงเสวนาได้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ปัญหาสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมายและไร้มาตรฐานที่น่ากังวล โดยปัญหาหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “ช่องว่าง” ของระบบคัดกรองสินค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้สินค้าผิดกฎหมายสามารถกลับเข้ามาจำหน่ายซ้ำได้ แม้ว่าผู้ขายหรือสินค้านั้นจะเคยถูกแจ้งเตือนหรือระงับบัญชีไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังพบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้าที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือขาดมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยา อาหารเสริม และเครื่องสำอาง ซึ่งมักแพร่กระจายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยง่าย
ความท้าทายอีกประการหนึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค Quick Commerce ที่นิยมความสะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการจัดส่งด่วน ซึ่งสร้างความซับซ้อนในการกำกับดูแล ทั้งในมิติของความเร็วในการทำธุรกรรมและความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ปัจจัยเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการพัฒนากลไกการกำกับดูแลที่เท่าทันและมีประสิทธิภาพ
4 กลไกหลัก ขับเคลื่อนความปลอดภัยออนไลน์
เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ที่ประชุมได้ร่วมกันเสนอ 4 กลไกสำคัญที่จะเป็นแนวทางในการสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับผู้บริโภค ได้แก่:
-
การยกระดับมาตรฐานแพลตฟอร์ม (Platform Standards): เสนอให้มีการลงทะเบียนผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและผู้ขายสินค้าออนไลน์อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสร้างระบบตรวจสอบแหล่งที่มาและความถูกต้องของข้อมูลสินค้าบนแพลตฟอร์มอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการควบคุมการแสดงข้อมูลเท็จ การละเมิดลิขสิทธิ์ และการแสดงสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานสินค้าอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค แพลตฟอร์มควรทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการคัดกรองสินค้า และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนสินค้ากับหน่วยงานภาครัฐแบบอัตโนมัติ (API/Database Integration) เพื่อลดภาระการตรวจสอบซ้ำซ้อน และป้องกันการนำสินค้าหรือบัญชีที่มีประวัติปัญหาหมุนเวียนกลับเข้ามาในระบบ
-
การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง (Law Enforcement): เน้นย้ำความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเชิงรุกกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติที่ไม่มีสำนักงานในประเทศไทย เพื่อให้เข้ามาอยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลของกฎหมายไทยอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการลงทะเบียนระบบขนส่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งสินค้าต้องห้าม เพื่อป้องกันการลักลอบจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย รวมถึงการเข้มงวดกับการโฆษณาเกินจริง และการจัดให้มีระบบยืนยันตัวตนของผู้ค้าที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
-
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความรู้เท่าทันให้ผู้บริโภค (Consumer Literacy): ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขาย ตรวจสอบรายละเอียดและราคาสินค้าอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อลดโอกาสในการถูกหลอกลวง นอกจากนี้ จะต้องมีการสื่อสารเชิงรุกให้ผู้บริโภคทราบถึงช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนและเข้าถึงง่าย เช่น สายด่วน อย. โทร 1556, ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 ของ ETDA และช่องทางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้เรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการป้องกันเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง
-
การเพิ่มกลไกความมั่นใจหลังการขาย (Post-Purchase Assurance): ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการให้ผู้บริโภคสามารถคืนสินค้าได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น 7–14 วัน พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบรีวิวสินค้าและระบบการรายงานปัญหาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจและมีช่องทางในการแจ้งปัญหาที่พบ นอกจากนี้ ยังควรมีการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ผลิตในประเทศ และกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความยั่งยืนและสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการไม่สร้างภาระเกินควรให้แก่ผู้ประกอบการที่ดี
ก้าวต่อไปของ “DPS Trust Every Click”
แคมเปญ “DPS Trust Every Click” ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งเดียว แต่จะเป็นภารกิจต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยETDA มุ่งหวังให้เวทีนี้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้บริโภค ให้มาร่วมกันสร้างมาตรฐานการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ภายใต้ระบบนิเวศดิจิทัลที่ทุกคนสามารถมั่นใจและรู้สึกปลอดภัย ที่สำคัญที่สุดคือสามารถ “วางใจได้ในทุก ‘คลิก’ ของการทำธุรกรรมออนไลน์”
การผนึกกำลังในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้การค้าขายออนไลน์เป็นช่องทางที่สร้างโอกาสและประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและความยั่งยืนของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในระยะยาว
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “DPS Trust Every Click” และกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ที่ เพจ ETDA Thailand
#DPSTrustEveryClick #ETDA #สภาองค์กรของผู้บริโภค #สินค้าออนไลน์ #คุ้มครองผู้บริโภค #อีคอมเมิร์ซ #ธุรกรรมออนไลน์ปลอดภัย #ต้านภัยสินค้าผิดกฎหมาย #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม