เบี้ยประกันรถ EV สุดป่วน! อนาคตความคุ้มครองบนถนนสายสีเขียวของไทยอยู่ตรงไหน?

เบี้ยประกันรถ EV สุดป่วน! อนาคตความคุ้มครองบนถนนสายสีเขียวของไทยอยู่ตรงไหน?

อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เจ้าของรถ EV กลับต้องเผชิญกับเบี้ยประกันภัยที่ “แพงและผันผวน” ส่องสาเหตุเจาะลึก ผลกระทบต่อผู้บริโภคและบริษัทประกัน พร้อมแนวทางแก้ไขและคาดการณ์อนาคต ความหวังเบี้ยลดลงยังพอมี แต่ระยะสั้นยังท้าทาย

TheReporterAsia – การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเป็นไปอย่างคึกคัก ยอดจดทะเบียนรถ EV พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความตื่นตัวของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความกังวลและอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาด EV คือ “ความผันผวนของ เบี้ยประกันรถ EV” ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและคาดเดาได้ยาก บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แนวทางแก้ไขที่กำลังถูกพัฒนา และภาพรวมอนาคตของประกันภัยรถ EV ในประเทศไทย

ความร้อนแรงของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ยังลุกลามไปถึงแวดวงประกันภัย ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในการกำหนดทิศทางความคุ้มครองให้กับยานยนต์แห่งอนาคตเหล่านี้ ประเด็นหลักที่ถูกจับตามองคือ “ความผันผวนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของบริษัทประกันภัยอีกด้วย

เจาะลึก “ความผันผวน” เบี้ยประกัน EV ทำไมยังแพงและคาดเดายาก?

คำว่า “ความผันผวน” ในบริบทของประกันภัยรถ EV ไม่ได้หมายถึงแค่ราคาเบี้ยประกันที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความไม่แน่นอนในการกำหนดอัตราเบี้ย การเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว และความแตกต่างของเบี้ยประกันระหว่างบริษัทต่างๆ สำหรับรถ EV รุ่นเดียวกัน ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดสถานการณ์นี้มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันหลายมิติ

ประการแรก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด คือ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงลิ่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นหัวใจของรถ EV และมีสัดส่วนมูลค่าสูงถึง 70-80% ของราคารถทั้งคัน การเสียหายเพียงเล็กน้อยที่แบตเตอรี่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนยกชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมหาศาล นอกจากนี้ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ในรถ EV ก็มีราคาสูงและต้องการช่างผู้ชำนาญการเฉพาะทางในการซ่อมแซม ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนจำกัด ทำให้ค่าแรงและระยะเวลาในการซ่อมเพิ่มสูงขึ้น ข้อมูลจากต่างประเทศชี้ว่า ค่าซ่อมรถ EV โดยเฉลี่ยสูงกว่ารถ ICE ถึง 25-60% และใช้เวลานานกว่า

ประการที่สอง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับความล้าสมัยของเทคโนโลยีเดิม รถ EV รุ่นใหม่ๆ มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ล้ำสมัย แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เทคโนโลยีเก่าตกยุคอย่างรวดเร็ว สร้างความท้าทายให้กับบริษัทประกันในการประเมินมูลค่าซากรถและความเสี่ยงด้านอะไหล่ที่อาจหาได้ยากหรือมีราคาแพงในอนาคต

ประการที่สาม ความจำกัดของข้อมูลการเคลม (Claim Data) เนื่องจากรถ EV ยังถือเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ในตลาด ทำให้บริษัทประกันยังมีข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ลักษณะความเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่เกี่ยวข้องกับรถ EV ไม่เพียงพอ เมื่อขาดข้อมูลที่แม่นยำ การประเมินความเสี่ยงจึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ส่งผลให้การกำหนดเบี้ยประกันมักจะอิงไปทางสูงเพื่อครอบคลุมความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น

ประการสุดท้าย การแข่งขันในตลาดประกันภัย ในประเทศไทย จำนวนบริษัทประกันที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับรถ EV โดยเฉพาะยังมีค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับตลาดรถ ICE ทำให้การแข่งขันด้านราคายังไม่สูงเท่าที่ควร แม้ว่าแนวโน้มนี้คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อตลาด EV เติบโตเต็มที่

ผลกระทบระลอกคลื่น: ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนนี้?

ความผันผวนของเบี้ยประกันรถ EV ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

  • ผู้บริโภค: คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุด ราคาเบี้ยประกันที่สูงและคาดเดาได้ยากกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของรถ EV โดยรวมสูงขึ้น และอาจบั่นทอนความน่าสนใจของรถ EV แม้จะมีข้อได้เปรียบด้านค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าในระยะยาวก็ตาม สถานการณ์นี้ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถ EV และอาจชะลอการเติบโตของตลาดโดยรวมได้ ข้อมูลจาก SCB EIC ชี้ว่าค่าเบี้ยประกันรถ BEV ในไทยเฉลี่ยสูงถึง 31,500 บาทต่อปี เทียบกับรถ ICE ที่ประมาณ 17,700 บาทต่อปี

  • บริษัทประกันภัย: เผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจให้กับลูกค้าและการบริหารความเสี่ยงเพื่อรักษาผลกำไร อัตราความเสียหาย (Loss Ratio) จากการรับประกันภัยรถ EV ในประเทศไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีรายงานว่าสูงถึง 90-100% ในบางกรณี ทำให้บริษัทประกันบางแห่งต้องปรับขึ้นเบี้ยประกัน ระงับการรับประกันภัยรถ EV บางรุ่น หรือเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณารับประกันภัยมากขึ้น การประเมินความเสี่ยงที่ซับซ้อนจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและข้อมูลที่จำกัด ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับฝ่ายพิจารณารับประกันภัย (Underwriting)

มองหาทางออก: กลยุทธ์และนวัตกรรมลดแรงกระแทก

แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่หลายภาคส่วนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังพยายามหาทางออกเพื่อลดความผันผวนของเบี้ยประกันรถ EV

  • ผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่:

    • การประกันภัยตามพฤติกรรมการขับขี่ (Usage-Based Insurance – UBI) หรือ เทเลเมติกส์ (Telematics): เป็นแนวทางที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โดยใช้เทคโนโลยีในการติดตามพฤติกรรมการขับขี่ เช่น ความเร็ว ระยะทาง ลักษณะการเบรกและการเร่ง เพื่อนำมาคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละราย ผู้ที่ขับขี่อย่างปลอดภัยหรือใช้รถน้อยก็มีโอกาสจ่ายเบี้ยประกันถูกลง ซึ่งรถ EV หลายรุ่นมีระบบเชื่อมต่อข้อมูลที่เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้
    • การประกันภัยโดยผู้ผลิตรถยนต์ (Manufacturer-Provided Insurance): ผู้ผลิตรถ EV บางราย เช่น Tesla เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยของตนเอง ซึ่งอาจออกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์ของตนโดยเฉพาะและใช้ข้อมูลจากตัวรถโดยตรงในการประเมินความเสี่ยง
    • การประกันภัยเฉพาะส่วน: มีข้อเสนอให้แยกความคุ้มครองสำหรับชิ้นส่วนที่มีราคาสูงและมีความเสี่ยงเฉพาะ เช่น แบตเตอรี่ ออกจากกรมธรรม์หลัก เพื่อให้เบี้ยประกันพื้นฐานมีความชัดเจนและคาดการณ์ได้มากขึ้น
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการซ่อมบำรุง:

    • การออกแบบแบตเตอรี่ที่ซ่อมง่ายขึ้น: ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพัฒนาแบตเตอรี่แบบโมดูลาร์ (Modular Design) ที่สามารถซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเฉพาะส่วนที่เสียหายได้ แทนที่จะต้องเปลี่ยนทั้งชุด ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมได้อย่างมาก
    • การพัฒนาเครือข่ายช่างและศูนย์ซ่อมผู้ชำนาญการ: การเพิ่มจำนวนช่างที่มีทักษะในการซ่อมรถ EV และศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน จะช่วยลดการผูกขาดและทำให้ค่าแรงในการซ่อมสมเหตุสมผลมากขึ้น
    • ความพร้อมของอะไหล่: เมื่อตลาด EV เติบโต การผลิตอะไหล่ทั้งแท้และเทียบเท่าจะมีปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ราคาถูกลงและหาได้ง่ายขึ้น
  • ความร่วมมือในอุตสาหกรรมและการแบ่งปันข้อมูล: การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทประกันภัย ศูนย์ซ่อม และหน่วยงานกำกับดูแล มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างมาตรฐานการซ่อม การแบ่งปันข้อมูลการเคลมและข้อมูลทางเทคนิค จะช่วยให้การประเมินความเสี่ยงมีความแม่นยำมากขึ้น

  • บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแล: ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกมาตรการและแนวปฏิบัติใหม่สำหรับประกันภัยรถ EV ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 โดยกำหนดให้มีการระบุชื่อผู้ขับขี่สูงสุด 5 คน การคำนวณเบี้ยประกันตามประวัติการขับขี่ การกำหนดค่าเสื่อมราคาแบตเตอรี่อย่างชัดเจน (ลดลงปีละ 10% สูงสุดไม่เกิน 50% ของมูลค่าแบตเตอรี่) และเงื่อนไขความคุ้มครองสำหรับอุปกรณ์ชาร์จส่วนบุคคล ซึ่ง คปภ. หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดข้อพิพาทในตลาด

อนาคตเบี้ยประกันรถ EV ไทย: ความหวังท่ามกลางความท้าทาย

สำหรับแนวโน้มในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า แม้ในระยะสั้นเบี้ยประกันรถ EV จะยังคงอยู่ในระดับสูงและมีความผันผวน แต่ในระยะยาวมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงและมีเสถียรภาพมากขึ้น ปัจจัยหนุนสำคัญคือการเติบโตของตลาด EV เองที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่มากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้มีราคาถูกลงและซ่อมง่ายขึ้น รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของบริษัทประกัน

นายวาสิต ล่ำซำ กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) ให้ทัศนะว่า ในปี 2568 ปริมาณเบี้ยประกันภัยรถ EV โดยรวมน่าจะเติบโตตามยอดขายรถใหม่ แต่เบี้ยประกันต่อคันอาจไม่ได้ปรับขึ้นมากนักเนื่องจากการแข่งขันในตลาด อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักคือการควบคุมอัตราความเสียหายที่ยังคงสูงมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เบี้ยประกันสำหรับรถปีที่สองเป็นต้นไปมีการปรับเพิ่มขึ้นตามประวัติการเคลม นอกจากนี้ นายวาสิตยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากสงครามราคาในตลาดรถ EV ที่ทำให้ราคารถใหม่และรถมือสองผันผวน ซึ่งสร้างความซับซ้อนในการกำหนดทุนประกัน

ขณะที่ Priceza Money คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของมาตรการสนับสนุน EV ของภาครัฐ ราคา เบี้ยประกันภัยรถ EV ในไทยอาจลดลงจนใกล้เคียงกับประกันภัยรถยนต์สันดาปในปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างประกันชั้นหนึ่งของรถ EV ราคาประมาณ 1 ล้านบาท อาจอยู่ที่ 23,000 – 24,000 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งฐานการผลิตรถ EV และอะไหล่ในประเทศ รวมถึงช่างที่มีความชำนาญมากขึ้น

สรุปและข้อเสนอแนะ

ความผันผวนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย และเป็นผลพวงจากหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ค่าซ่อมที่สูงลิ่ว เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้อมูลการเคลมที่จำกัด ไปจนถึงการแข่งขันในตลาดที่ยังไม่เต็มที่ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และบริษัทประกันที่เผชิญกับความท้าทายในการทำกำไรและประเมินความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม อนาคตของ เบี้ยประกันรถ EV ไม่ได้มืดมนเสียทีเดียว ด้วยความพยายามของทุกภาคส่วนในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัย การปรับปรุงเทคโนโลยีการซ่อมแซมและแบตเตอรี่ การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรม และการกำหนดกรอบกติกาที่ชัดเจนจากภาครัฐ คาดว่าในระยะยาว เบี้ยประกันรถ EV จะมีเสถียรภาพมากขึ้นและอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยผลักดันให้การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน

สำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อรถ EV หรือเจ้าของรถ EV การศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบความคุ้มครองและเบี้ยประกันจากหลายบริษัท การขับขี่อย่างระมัดระวังเพื่อรักษาประวัติการเคลมที่ดี และการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและความคุ้มครองได้อย่างเหมาะสมในยุคที่ถนนทุกสายกำลังมุ่งหน้าสู่พลังงานสะอาด

#ประกันรถEV #รถยนต์ไฟฟ้า #เบี้ยประกันรถยนต์ #EVinsurance #ความผันผวนประกันภัย #อุตสาหกรรมยานยนต์ #คปภ #TGIA #เทเลเมติกส์ #อนาคตประกันภัย

Related Posts