การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พลิกโฉมการบริหารจัดการครั้งใหญ่ จับมือ แกร็บ ประเทศไทย ลงนาม MOU นำโซลูชัน “GrabForBusiness” มาใช้กับพนักงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นับเป็นก้าวสำคัญของรัฐวิสาหกิจไทยในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอกย้ำหลักธรรมาภิบาล สร้างมาตรฐานใหม่ขององค์กรโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการรัฐวิสาหกิจไทย ผ่านพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการนำโซลูชันสำหรับองค์กรอย่าง “GrabForBusiness” มาใช้ในการจองบริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน Grab ความร่วมมือนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของ กฟภ. โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการเดินทางของบุคลากรให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
โครงการนำร่องนี้จะเริ่มต้นกับพนักงานของ กฟภ. ที่ต้องปฏิบัติภารกิจในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเปลี่ยนจากระบบเดิมที่พึ่งพารถเช่าพร้อมพนักงานขับแบบรายเดือน มาสู่ระบบการเรียกรถแบบ On-Demand ที่มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับการใช้งานจริงมากขึ้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กฟภ. ที่มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับองค์กรให้ทันสมัยและมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
เจาะลึกเบื้องหลัง MOU: แก้ปัญหาต้นทุนแฝง สู่การบริหารจัดการที่โปร่งใส
นายจักรี กิจบัญชา รองผู้ว่าการโลจิสติกส์และบริการองค์กร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ให้ทัศนะถึงที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ แกร็บ ในการทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเรียกรถแบบ On-Demand ภายในองค์กร จากเดิมที่ใช้ระบบเช่ารถพร้อมพนักงานขับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งค่าจ้าง และค่าเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง รวมถึงไม่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริงที่มักเกิดขึ้นรายวัน”
คำกล่าวของนายจักรีได้ฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายที่องค์กรขนาดใหญ่อย่าง กฟภ. ต้องเผชิญ นั่นคือ “ต้นทุนคงที่” (Fixed Cost) ที่เกิดจากการเช่ารถแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ว่าพนักงานจะมีการเดินทางมากหรือน้อยเพียงใด องค์กรก็ยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในระดับเดิมตลอดทั้งเดือน การเปลี่ยนมาใช้บริการจาก Grab ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-per-use) จึงเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนครั้งสำคัญ ทำให้องค์กรสามารถบริหารและควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญที่นายจักรีเน้นย้ำคือ “ความโปร่งใสและหลักธรรมาภิบาล” โดยกล่าวเสริมว่า “กฟภ. มีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความโปร่งใส่ในองค์กร โดยเราให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล… การจับมือกับแกร็บในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญขององค์กรภาครัฐในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล มาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ และช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่โปร่งใส”
แพลตฟอร์ม GrabForBusiness จะเข้ามาตอบโจทย์ด้านความโปร่งใสได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากทุกการเดินทางจะถูกบันทึกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์ ผู้บริหารสามารถตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเดินทาง ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย ตลอดจนผู้ใช้งาน ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการทำเอกสารเบิกจ่ายที่ซับซ้อน ลดภาระของพนักงานในการสำรองเงินจ่ายล่วงหน้า และที่สำคัญคือสามารถป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นจากการเบิกจ่ายค่าเดินทางที่ไม่โปร่งใสได้อีกด้วย
มุมมอง Grab: โซลูชัน B2B ขับเคลื่อนประสิทธิภาพภาครัฐ
ทางด้านแกร็บ ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำ มองว่าความร่วมมือครั้งนี้คือบทพิสูจน์ถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ
นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “แกร็บรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กร”
นางสาวปุณณดาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า GrabForBusiness ถูกออกแบบมาเพื่อลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ
- บริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น: ผ่านระบบควบคุมและรายงานผลแบบดิจิทัล
- ลดงานเอกสารและภาระพนักงาน: ไม่ต้องสำรองจ่ายและทำเรื่องเบิกจ่ายที่ยุ่งยากอีกต่อไป
- นำเสนอบริการมาตรฐานสากล: ทั้งในด้านคุณภาพของยานพาหนะและมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับบุคลากร
ความสำเร็จในการร่วมมือกับองค์กรระดับประเทศอย่าง กฟภ. ย่อมเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจ (B2B) ของ Grab ได้รับการยอมรับและสามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนของหน่วยงานภาครัฐได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานราชการอื่นๆ หันมาพิจารณาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิรูปองค์กรในอนาคต
ผลกระทบเชิงบวกและอนาคตที่น่าจับตา
ความร่วมมือระหว่าง กฟภ. และ แกร็บ ประเทศไทย ในครั้งนี้ อาจดูเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนระบบการเดินทางภายในองค์กร แต่หากมองในภาพใหญ่แล้ว นี่คือสัญญาณบวกของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภาคบริการสาธารณะของไทย
- ด้านเศรษฐกิจ: เป็นการบริหารจัดการงบประมาณภาครัฐให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและนำงบประมาณไปพัฒนาในส่วนอื่นได้มากขึ้น
- ด้านสังคม: ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยเทคโนโลยีติดตามและมาตรฐานของผู้ให้บริการที่มีความเป็นสากล
- ด้านธรรมาภิบาล: สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่
- ด้านเทคโนโลยี: เป็นการส่งเสริมการยอมรับและใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Adoption) ในวงกว้าง ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว
อนาคตของความร่วมมือนี้ยังคงน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง หากโครงการนำร่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลประสบความสำเร็จด้วยดี ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ กฟภ. จะขยายผลการใช้บริการ GrabForBusiness ไปยังสำนักงานสาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่ขึ้น และอาจกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่จุดประกายให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่นๆ เดินตามรอย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็น “รัฐบาลดิจิทัล” ที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสอย่างแท้จริง
#กฟภxGrab #PEAGrab #DigitalTransformation #รัฐวิสาหกิจยุคใหม่ #องค์กรโปร่งใส #GoodGovernance #GrabForBusiness #เศรษฐกิจดิจิทัล #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพ #ข่าวเศรษฐกิจ