“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีดีอี ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก เรียกถกด่วน “อนุ กก.แก้ปัญหาน้ำผิวดิน” กำชับทุกหน่วยงานวางมาตรการเฝ้าระวังเข้มข้น ควบคู่มาตรการเชิงรุก พร้อมเดินหน้าเจรจาเมียนมาแก้ปัญหาที่ต้นตอ ย้ำน้ำประปาเชียงรายปลอดภัย ผู้บริหารยืนยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ เร่งสร้างความเชื่อมั่นประชาชนและภาคเศรษฐกิจ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย อย่างจริงจังและรอบด้าน โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อติดตามความคืบหน้าและสั่งการมาตรการเพิ่มเติม ทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมเตรียมนำทีมเจรจากับประเทศเมียนมาเพื่อจัดการปัญหาจากแหล่งกำเนิด ตอกย้ำความปลอดภัยของน้ำประปา และขอความร่วมมือประชาชนรับฟังข้อมูลจากภาครัฐ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศ
สถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่มีรายงานข่าวการตรวจพบสารปนเปื้อนเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยล่าสุด นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับดูแลการแก้ไขปัญหานี้ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ณ ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
นายประเสริฐกล่าวเปิดการประชุมว่า “ตั้งแต่ที่มีข่าวการปนเปื้อนในแม่น้ำกกเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ติดตามข่าวมาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้นิ่งนอนใจ ผมได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ เราก็ได้มีการทำงานกันมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้มีการมอบหมายและสั่งการหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ”
สถานการณ์ปัจจุบันและผลการตรวจสอบ:
รองนายกรัฐมนตรีได้สรุปสถานการณ์ล่าสุดว่า กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตรวจคุณภาพน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ และประสานงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากการตรวจสอบพบว่า ค่าสารหนูในปัจจุบันยังคงสูงเกินมาตรฐานในจุดบริเวณชายแดนไทย-พม่า ตั้งแต่บริเวณท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เรื่อยมาจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ หลังจากน้ำไหลผ่านฝายกั้นน้ำ ปริมาณสารหนูมีแนวโน้มลดลงจนกลับสู่ระดับปกติ
“อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูในระดับนี้ พี่น้องประชาชนก็ยังไม่ควรนำมาอุปโภคบริโภคโดยตรง ควรมีการกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อน แต่ในส่วนของการด้านการเกษตรสามารถใช้รดหรือปลูกพืชได้ และน้ำในแหล่งน้ำยังไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ” นายประเสริฐกล่าว พร้อมเสริมว่า “ในส่วนของน้ำประปา จากข้อมูลที่ได้รับรายงานจากการประปาส่วนภูมิภาคแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีพบสารใดที่เกินค่ามาตรฐาน ขอให้ทุกคนใช้ได้อย่างมั่นใจ”
กรณีพบปลาป่วยเป็นโรคในพื้นที่นั้น จากการตรวจสอบโดยประมงจังหวัดและกรมอนามัย พบว่ามีสาเหตุมาจากพยาธิใบไม้และแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากสารหนู นายประเสริฐจึงขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลในประเด็นนี้ “ขอให้พี่น้องประชาชนรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ และขอความกรุณาจากทุกท่านไม่นำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเผยแพร่เพราะอาจจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ”
สั่งการมาตรการเข้มข้น ทั้งเฝ้าระวังและเชิงรุก:
ที่ประชุมได้มีการกำหนดมาตรการสำคัญเพิ่มเติมหลายด้าน เพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างรอบด้าน ดังนี้
-
มาตรการเฝ้าระวัง (Surveillance Measures):
- ตรวจติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง: สั่งการให้มีการตรวจคุณภาพน้ำดิบ น้ำประปา ตะกอนดิน สัตว์น้ำ และสัตว์หน้าดินอย่างสม่ำเสมอ
- ประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ: ตรวจระดับสารพิษในร่างกายประชาชนในพื้นที่เสี่ยง (เช่น ตรวจปัสสาวะ)
- ยกระดับการตรวจวัด: เสนอให้ใช้ชุดทดสอบแบบรวดเร็ว (Rapid Test) เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่รวดเร็วขึ้น สามารถดำเนินการได้ทุกวัน และแจ้งผลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง
- เฝ้าระวังผลผลิตเกษตร: ตรวจสอบผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและแจ้งเตือนผู้บริโภคหากจำเป็น
- ติดตั้งระบบติดตามอัจฉริยะ: ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนประชาชนทันทีเมื่อพบความขุ่นของน้ำเกินมาตรฐาน
- จำกัดกิจกรรมทางน้ำ: งดกิจกรรมทางน้ำที่อาจมีการสัมผัสน้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
-
มาตรการเชิงรุก (Proactive Measures):
- ศึกษาและพัฒนาระบบดักตะกอน: มอบหมายให้ศึกษาแนวทางการสร้างระบบดักตะกอนในแม่น้ำกก โดยในระยะสั้นอาจเป็นการขุดหลุมดักตะกอน ส่วนในระยะยาวจะศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างฝายดักตะกอนถาวร หรือการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำหรือแก้มลิงที่มีพืชน้ำช่วยในการบำบัด
- ขุดลอกตะกอนปนเปื้อน: ดำเนินการขุดลอกตะกอนในลำน้ำที่มีการสะสมของสารปนเปื้อนเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
- ปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปา: ควบคุมและปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำประปาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดสารปนเปื้อน
- เตรียมแหล่งน้ำสำรอง: จัดเตรียมน้ำสะอาดสำหรับแจกจ่ายให้ประชาชนในกรณีฉุกเฉิน และวางแผนจัดหาแหล่งน้ำดิบสำรองอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกในอนาคต
จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า บูรณาการสั่งการ:
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า” ขึ้น โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าศูนย์ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานในจังหวัดและส่วนกลาง เพื่อให้การเฝ้าระวัง การให้ความช่วยเหลือประชาชน และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถูกต้อง และไม่สร้างความสับสน
เดินหน้าเจรจาเมียนมา แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ:
นายประเสริฐเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ซึ่งคาดว่ามาจากพื้นที่เหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน “เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนเนื่องจากเราต้องมีความแน่ใจและมีหลักฐานมากพอ ทางกรมแผนที่ทหาร GISTDA และกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกันตรวจสอบและหาหลักฐาน ตอนนี้เรามีข้อมูลที่พร้อมที่จะเจรจาหารือแล้ว”
แผนการเจรจากับประเทศเมียนมาได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในหลายระดับ ทั้งผ่านกลไกความร่วมมือตามแนวชายแดน กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation) และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งมีการสื่อสารไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
“อย่างไรก็ตาม เพื่อเร่งรัดกระบวนการเจรจานี้ ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีการหารือระดับรัฐบาล ก่อนหน้านี้ผมได้ประสานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ประสานไปยังประเทศเมียนมา ซึ่งทางประเทศเมียนมาได้ตอบรับมาว่ายินดีให้ความร่วมมือ” นายประเสริฐกล่าว
ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการแต่งตั้ง “คณะทำงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ” เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาอย่างเป็นรูปธรรม “เมื่อได้กำหนดวันมาแล้ว ผมเองจะเป็นหัวหน้าในการเดินทางไปเพื่อให้มีการร่วมตรวจสอบ และหาแนวทางแก้ปัญหา รวมถึงให้ความรู้ด้านการทำเหมืองแร่ที่ถูกต้องและการให้ความรู้ด้านสุขภาพกับประชาชนในพื้นที่เมียนมา” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวทิ้งท้าย แสดงความพร้อมที่จะนำคณะผู้แทนไทยไปหารือและร่วมแก้ไขปัญหาถึงต้นตอ
การแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทั้งในภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และการบริโภคสินค้าในพื้นที่ การดำเนินการอย่างจริงจังและโปร่งใสของภาครัฐ รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาใสสะอาดและปลอดภัยดังเดิม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว
#แม่น้ำกก #สารปนเปื้อน #เชียงราย #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #แก้ปัญหาน้ำ #คุณภาพน้ำ #ความสัมพันธ์ไทยเมียนมา #เศรษฐกิจชายแดน #สิ่งแวดล้อม #รัฐบาลใส่ใจ