รองนายกฯ และ รมว.ดีอีเอส “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ลงพื้นที่โคราช ติดตามความคืบหน้าโครงการ “Thailand Zero Dropout” เผย “โคราชโมเดล” สำรวจเยาวชนนอกระบบการศึกษาครบ 100% เตรียมยกระดับ เปิดตัว “Learn to Earn” ผนึกกำลัง กสศ. ภาคเอกชน สร้างทางเลือกใหม่การศึกษา เรียนรู้พร้อมทำงาน มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา ตอบโจทย์ชีวิตและตลาดแรงงานยุคใหม่ เริ่มปีการศึกษา 2568 นี้ หวังลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนากำลังคนรับ Smart City และ MICE City
นครราชสีมา, ประเทศไทย – เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ อุทยานการเรียนรู้นครราชสีมา (TK Park Korat) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ระดับชาติ ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ของจังหวัดนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โคราชโมเดล” ซึ่งถือเป็นจังหวัดนำร่องสำคัญในการดำเนินนโยบายระดับชาตินี้
การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ประกอบด้วย ศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา, ผู้แทนจากหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. ซึ่งล้วนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้กล่าวถึงสถานการณ์และผลการดำเนินงานล่าสุดของ “โคราชโมเดล” ว่า จากข้อมูล จังหวัดนครราชสีมามีจำนวนเด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาทั้งสิ้น 28,896 คน ซึ่งทางจังหวัดได้ดำเนินการสำรวจและติดตามกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ถือเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญในการระบุกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ผลการติดตามพบว่า สามารถพบตัวตนเด็กและเยาวชนได้จำนวน 25,029 คน ในขณะที่อีก 3,867 คน ยังไม่พบตัวตน ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีการย้ายถิ่นฐานตามครอบครัว หรือออกไปทำงานในพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐยืนยันว่าภาครัฐจะไม่ละทิ้งการติดตามกลุ่มนี้ โดยจะดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลกับฐานข้อมูลในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อค้นหาและให้ความช่วยเหลือต่อไป
สำหรับกลุ่มเยาวชนที่ติดตามพบตัวตนแล้วจำนวนกว่า 25,000 คนนั้น จังหวัดนครราชสีมาได้วางแนวทางในการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อโจทย์ชีวิต ความต้องการ ศักยภาพ ความถนัด ความสนใจ รวมถึงสภาพปัญหาที่แตกต่างกันของเด็กและเยาวชนแต่ละคน โดยตระหนักดีว่ารูปแบบการศึกษาในระบบเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถตอบโจทย์เยาวชนกลุ่มนี้ได้ทั้งหมด
รองนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยถึงก้าวต่อไปที่สำคัญของ “โคราชโมเดล” ซึ่งจะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2568 ที่จะถึงนี้ นั่นคือการริเริ่มโครงการ “Learn to Earn” หรือ “เรียนรู้ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา” ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะในช่วงอายุ 15-24 ปี สามารถกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการศึกษาและการทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ
โครงการ “Learn to Earn” นี้ เป็นความร่วมมือเชิงรุกระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา, หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ซึ่งจะเข้ามาช่วยเรื่องการเทียบโอนประสบการณ์และการให้คุณวุฒิวิชาชีพ รวมถึงเครือข่ายศูนย์การเรียนและสถาบันทางสังคมในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตลอดจนภาคเอกชนและสถานประกอบการต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครราชสีมา ที่จะเข้าร่วมเป็นเครือข่ายสำคัญในการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้ทักษะอาชีพจากการปฏิบัติงานจริง ควบคู่ไปกับการได้รับการศึกษาหรือการรับรองคุณวุฒิ
นายประเสริฐได้เน้นย้ำถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้ต้องออกจากระบบการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับปัญหาทางเศรษฐกิจและความจำเป็นในการหารายได้เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของครอบครัว “ดังนั้นรัฐบาลจึงสร้างโอกาสใหม่ทางการศึกษาผ่านแนวคิด learn to earn เรียนรู้ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา” นายประเสริฐกล่าว พร้อมเสริมว่า “การศึกษาไม่จำกัดเพียงในโรงเรียนอีกต่อไป เยาวชนกลุ่มนี้จะมีทักษะพื้นฐานชีวิตที่จำเป็น และทักษะอาชีพที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในโลกยุคใหม่”
แนวคิด “Learn to Earn” จึงเปรียบเสมือนการปรับกระบวนทัศน์ทางการศึกษา ให้มีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน มีรายได้ระหว่างการเรียนรู้ และเมื่อจบหลักสูตรหรือสะสมประสบการณ์ได้ตามเกณฑ์ ก็จะได้รับวุฒิการศึกษาหรือคุณวุฒิวิชาชีพที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือการประกอบอาชีพที่มั่นคง
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปว่า “นี่คือโคราชโมเดล ภายใต้นโยบาย Thailand Zero dropout ของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ด้วยการพัฒนากำลังคนของเราให้มีคุณภาพและพร้อมสำหรับรองรับการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมาให้ก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และเมืองแห่งการจัดประชุมและนิทรรศการ (MICE City) ตามเป้าหมายที่วางไว้”
ความสำเร็จของ “โคราชโมเดล” และการขับเคลื่อนโครงการ “Learn to Earn” จึงไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหาเยาวชนนอกระบบการศึกษาในระดับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างต้นแบบสำคัญที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “Thailand Zero Dropout” ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างโอกาสที่เท่าเทียม และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน
#โคราชโมเดล #ThailandZeroDropout #LearntoEarn #เรียนพร้อมทำงาน #เยาวชนนอกระบบการศึกษา #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอีเอส #กสศ #สคช #นครราชสีมา #โคราช #การศึกษาไทย #พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ #ลดความเหลื่อมล้ำ #เศรษฐกิจฐานราก #SmartCity #MICECity