KTIS โชว์ผลงาน Q2/2568 รายได้ทะลุ 5 พันล้าน คาดน้ำตาลหนุนครึ่งปีหลัง

KTIS โชว์ผลงาน Q2/2568 รายได้ทะลุ 5 พันล้าน คาดน้ำตาลหนุนครึ่งปีหลัง

KTIS โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 รายได้ทะลุ 5 พันล้านบาท อานิสงส์ธุรกิจเยื่อกระดาษโตกระฉูด 73.5% โรงไฟฟ้าชีวมวลขยายตัว 23.1% ขณะที่ปริมาณน้ำตาลทรายพุ่ง 31.4% จ่อรับรู้รายได้เพิ่มในไตรมาส 3-4 พร้อมกากน้ำตาลรอขายอีก 1.6 แสนตัน มูลค่ากว่า 560 ล้านบาท ด้านธุรกิจบรรจุภัณฑ์ EPAC สดใส รับอานิสงส์ PFAS-Free

กลุ่ม KTIS ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 (มกราคม-มีนาคม 2568) เติบโตน่าประทับใจด้วยรายได้รวม 5,093.5 ล้านบาท โดยมีธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยและธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเป็นพระเอกขับเคลื่อนการเติบโต ขณะที่ธุรกิจน้ำตาลทรายแม้จะผลิตได้ปริมาณมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ในช่วงครึ่งปีหลัง สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการและกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนตามแนวทาง BCG Model

กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568) โดยบริษัทมีรายได้รวมที่แข็งแกร่งถึง 5,093.5 ล้านบาท ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสองสายธุรกิจหลักที่มีการเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด ได้แก่ ธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย และสายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอ้อย”

ธุรกิจเยื่อกระดาษและโรงไฟฟ้าชีวมวล: ดาวเด่นขับเคลื่อนรายได้

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 สายธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจเรือธงของกลุ่ม KTIS ที่สอดรับกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) อย่างชัดเจน สามารถสร้างการเติบโตของรายได้อย่างโดดเด่น โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 73.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้เป็นผลมาจากความต้องการของตลาดที่ยังคงแข็งแกร่ง และการบริหารจัดการวัตถุดิบชานอ้อยที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล

ขณะเดียวกัน สายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก็มีการเติบโตของรายได้ที่น่าพอใจเช่นกัน โดยรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น 23.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โรงไฟฟ้าชีวมวลของกลุ่ม KTIS ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานของกลุ่มบริษัท แต่ยังสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจน้ำตาล: ปริมาณผลผลิตเพิ่ม รอรับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป

สำหรับสายธุรกิจหลักคือการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี 2567/2568 กลุ่ม KTIS ประสบความสำเร็จในการผลิตน้ำตาลทรายได้ประมาณ 6.7 ล้านกระสอบ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 31.4% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลทรายที่ผลิตได้ในฤดูการผลิตปี 2566/2567 ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ถือเป็นสัญญาณบวกอย่างยิ่งต่อแนวโน้มรายได้ของกลุ่มในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชี

อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นนี้จะเริ่มรับรู้เป็นรายได้ที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 (เมษายน – กันยายน 2568) เนื่องจากการรับรู้รายได้ในธุรกิจน้ำตาลส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการทยอยส่งมอบน้ำตาลตามสัญญาซื้อขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนสำคัญของรายได้รวม การมีปริมาณน้ำตาลในมือที่มากขึ้น ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการตอบสนองความต้องการของตลาดโลก และสร้างรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของกลุ่ม KTIS ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตของผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทั่วประเทศ ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยคู่สัญญาของกลุ่มKTIS อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้องค์ความรู้ เทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ทันสมัย และเครื่องมือเครื่องจักรกลการเกษตรต่างๆ เพื่อช่วยให้ชาวไร่อ้อยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้สูงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มKTIS ในการมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานอย่างเพียงพอ แต่ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวไร่อ้อยที่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำตาลในสัดส่วน 70% ขณะที่อีก 30% เป็นส่วนแบ่งของโรงงานน้ำตาล นับเป็นการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม

กากน้ำตาล (โมลาส): สินค้าพลอยได้มูลค่าสูง

นอกเหนือจากน้ำตาลทรายแล้ว ผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้มีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ มากขึ้น ดังที่เห็นได้จากการเติบโตที่ดีของสายธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยและโรงไฟฟ้าชีวมวลตามที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ กลุ่มKTIS ยังได้ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงอย่างกากน้ำตาล (โมลาส) ในปริมาณที่มากขึ้นด้วย โดยปริมาณกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากประมาณ 2 แสนตันในปีก่อน เป็นประมาณ 3 แสนตันในปีนี้

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ปริมาณผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้นทำให้มีวัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้กากน้ำตาล (โมลาส) มากขึ้นด้วย โดยเพิ่มจาก 2 แสนตันเมื่อปีก่อน เป็นประมาณ 3 แสนตันในปีนี้ และยังคงเหลือสำหรับการจำหน่ายในไตรมาสที่ 3-4 อีกกว่า 1.6 แสนตัน เป็นมูลค่ากว่า 560 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างผลกำไรที่ดีในครึ่งปีหลัง 2568” กากน้ำตาลถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเอทานอล และอุตสาหกรรมผลิตสุรา เป็นต้น การมีปริมาณกากน้ำตาลคุณภาพดีรอจำหน่ายจำนวนมาก จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนผลประกอบการของกลุ่มKTIS ในช่วงที่เหลือของปี

EPAC: ธุรกิจบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เติบโตโดดเด่นรับเทรนด์โลก

อีกหนึ่งสายธุรกิจที่น่าจับตามองและมีการเติบโตอย่างโดดเด่นคือ ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพคเกจจิ้ง จำกัด (EPAC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มKTIS EPAC ถือเป็นหัวหอกสำคัญของกลุ่มในการรุกตลาดบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก

จากการประเมินคำสั่งซื้อล็อตใหญ่ๆ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ EPAC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้สาร PFAS (Per- and Polyfluoroalkyl Substances) หรือที่รู้จักกันในชื่อ PFAS-Free ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีที่กำลังถูกจำกัดการใช้งานในหลายประเทศ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ PFAS-Free ของ EPAC จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีความตื่นตัวสูงในเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ด้วยแนวโน้มความต้องการที่แข็งแกร่งนี้ กลุ่มKTIS คาดการณ์ว่าจะมีรายได้จาก EPAC ในปี 2568 นี้ ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตที่สำคัญและช่วยเสริมสร้างความหลากหลายให้กับโครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัท สอดรับกับวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน

บทสรุปและแนวโน้มอนาคต

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ของกลุ่มKTIS แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจที่มีความหลากหลาย สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย การเติบโตอย่างโดดเด่นของธุรกิจเยื่อกระดาษและโรงไฟฟ้าชีวมวล ประกอบกับปริมาณผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคต

รวมถึงศักยภาพของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และปริมาณกากน้ำตาลคุณภาพสูงที่รอการจำหน่าย ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้ผลประกอบการของกลุ่มKTIS เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และต่อเนื่องไปในอนาคต ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง BCG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เกษตรกร คู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น และสังคมโดยรวม

#KTIS #เกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนลชูการ์คอร์ปอเรชั่น #ผลประกอบการQ2ปี2568 #ธุรกิจน้ำตาล #เยื่อกระดาษชานอ้อย #โรงไฟฟ้าชีวมวล #EPAC #บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก #PFASFree #BCGModel #เศรษฐกิจชีวภาพ #เศรษฐกิจหมุนเวียน #เศรษฐกิจสีเขียว #กากน้ำตาล #โมลาส #อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล #ข่าวเศรษฐกิจ #การลงทุน

Related Posts