กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ผลสำรวจล่าสุดจาก “Lenovo CIO Playbook 2025” ซึ่งจัดทำขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Lenovo และ IDC ครั้งที่ 3 เผยให้เห็นแนวโน้มสำคัญที่น่าจับตามองในแวดวงเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยชี้ว่า ธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนพลัส (ASEAN Plus) มากถึง 68% ได้หันมาใช้งานโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริด (Hybrid IT Infrastructure) เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มศักยภาพ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการลงทุนด้าน AI ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดวิสัยทัศน์และวางแผนยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจนในการผลักดันประเทศสู่การเป็นศูนย์กลาง AI (AI Hub) ระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางการลงทุนจะสดใส แต่การนำ AI มาปรับใช้ในภาคธุรกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยมีอุปสรรคและความท้าทายสำคัญอยู่ที่การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่เป็นรูปธรรม และการกำกับดูแลกิจการ การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (GRC) ที่ยังคงมีความล่าช้าในการนำมาปฏิบัติจริง
รายงาน “Lenovo’s CIO Playbook 2025” ได้ทำการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามจากทั่วโลกกว่า 2,900 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริหารระดับสูงและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที (ITDM) กว่า 900 คน ใน 12 ตลาดสำคัญทั่วภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ประกอบด้วย อินเดีย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และกลุ่มอาเซียนพลัส (ไทย, สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและการให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยี AI อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยเหล่าผู้นำทางธุรกิจและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ทิศทางการลงทุนใน AI จะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจนและวัดผลได้ กลุ่มธุรกิจในภาพรวมของเอเชีย แปซิฟิค มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนด้าน AI สูงถึง 3.3 เท่า ขณะที่กลุ่มธุรกิจในอาเซียนพลัสก็ไม่น้อยหน้า โดยมีแผนการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นถึง 2.7 เท่า ตัวเลขเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI ที่จะเข้ามาปฏิวัติรูปแบบการดำเนินธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
การประยุกต์ใช้ AI ในอาเซียนพลัส: โอกาสและความท้าทายเรื่อง ROI
แม้ว่าเม็ดเงินลงทุนใน AI จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนพลัสโดยรวมยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น ผลสำรวจระบุว่า 47% ของธุรกิจในอาเซียนพลัสยังอยู่ในขั้นตอนการประเมินหรือวางแผนที่จะนำ AI มาใช้งานจริงในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของธุรกิจในเอเชีย แปซิฟิค (56%) และทั่วโลก (49%) อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การนำ AI มาปรับใช้ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร คือความท้าทายในการพิสูจน์และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน
ในกลุ่มอาเซียนพลัส สิงคโปร์มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำและศูนย์กลางระดับภูมิภาค โดยมีความพร้อมด้าน AI ที่ล้ำหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาและนำ AI ไปใช้งาน ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียนพลัส รวมถึงประเทศไทย ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และองค์ความรู้ที่จำเป็น
การทำให้โครงการ AI สามารถสร้าง ROI ที่น่าพอใจนั้น จำเป็นต้องอาศัยความสมดุลระหว่างการทดลองนำร่อง (Pilot Projects) เพื่อเรียนรู้และประเมินความเป็นไปได้ กับการพัฒนาโครงการที่สามารถขยายผล (Scalable Projects) และสร้างผลกระทบในวงกว้างได้จริง ประเด็นที่น่าสนใจคือ ธุรกิจและองค์กรในเอเชีย แปซิฟิค โดยเฉลี่ยคาดหวังที่จะได้รับ ROI สูงถึง 3.6 เท่าจากการลงทุนในโครงการ AI ต่าง ๆ ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น ต้องอาศัยความรอบคอบในการวางแผนขยายการใช้งาน AI ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพและความพร้อมของบุคลากรภายในองค์กรอย่างจริงจัง
สำหรับธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัสที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการนำ AI มาปรับใช้ ผลสำรวจชี้ว่า การเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบซัพพลายเชน, การพัฒนาข้อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎระเบียบของภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแล, และการเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ถือเป็นเป้าหมายหลักที่ธุรกิจให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ, การสร้างความเชี่ยวชาญด้าน AI ภายในองค์กร, และการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ก็เป็นประเด็นท้าทายที่ธุรกิจในภูมิภาคนี้กำลังพยายามรับมือ
ประเทศไทยกับการขับเคลื่อนสู่ศูนย์กลาง AI และบทบาทของ Lenovo
ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงค์ที่ชัดเจนในการเป็นผู้นำด้าน AI ในภูมิภาค ผ่าน “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)” แผนดังกล่าวมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม AI, การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและทันสมัยเพื่อรองรับการใช้งาน AI อย่างเต็มรูปแบบ, การพัฒนาองค์ความรู้และความสามารถของบุคลากรในประเทศให้พร้อมรับมือและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI รวมถึงการสนับสนุนการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในฐานะบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก Lenovo ได้วางวิสัยทัศน์ “Smarter Technology for All” หรือการสร้างเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อทุก ๆ คน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและทิศทางการพัฒนา AI ของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง Lenovo มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ไม่เพียงแต่ชาญฉลาด แต่ยังต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย มีกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน และสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทั้งสำหรับการใช้งานส่วนบุคคล การใช้งานในภาคธุรกิจ และการใช้งานบนระบบสาธารณะ
สิ่งนี้ปรากฏชัดผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และบริการที่ Lenovo นำเสนออย่างครบวงจร ตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทาง (End-devices) ที่ได้รับการออกแบบให้มาพร้อมประสิทธิภาพสำหรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ไปจนถึงบริการและโซลูชันที่ผสานความสามารถของ AI เข้าไปอย่างลงตัว ด้วยความพร้อมเหล่านี้ Lenovo จึงอยู่ในสถานะที่สามารถช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและคนไทยบรรลุเป้าหมายในการปลดล็อกศักยภาพของเทคโนโลยี AI ออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อสร้างประสิทธิผลในการทำงาน พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และสร้างผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
ความท้าทายด้านธรรมาภิบาล AI (AI GRC) และความพร้อมของธุรกิจ
ลำดับความสำคัญของธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการผลักดันการเติบโตของ AI รวมถึงการตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานเทคโนโลยีนี้ ประเด็นด้านจริยธรรมและอคติ (Bias) ที่อาจแฝงอยู่ในระบบ AI ยังคงเป็นความเสี่ยงอันดับต้น ๆ ที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจกลับพบว่า มีเพียง 24% ของธุรกิจและองค์กรระดับโลก และ 25% ของธุรกิจและองค์กรในเอเชีย แปซิฟิค ที่มีการบังคับใช้นโยบายการกำกับดูแลกิจการ การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (GRC) ที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างสมบูรณ์ สำหรับธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัส สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยพบว่ามีเพียง 24% ที่มีการดำเนินการนโยบาย AI GRC ในระดับองค์กรอย่างครบถ้วน สถานการณ์นี้เป็นสิ่งยืนยันถึงสาเหตุที่เหล่าธุรกิจและองค์กรในเอเชียแปซิฟิคส่วนใหญ่ลงความเห็นให้การวางแนวทางปฏิบัติที่เป็นระบบสำหรับ AI เป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
การใช้งาน AI อย่างมีธรรมาภิบาลนั้นจำเป็นต้องประกอบด้วยหลายมิติที่สำคัญ ได้แก่ ระบบ AI ที่ต้องสามารถอธิบายการตัดสินใจและการทำงานได้ (Explainability), การมีกรอบการทำงานด้านจริยธรรมที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ, การกำหนดภาระความรับผิดชอบ (Accountability) ที่ชัดเจน, การมีโมเดลการกำกับดูแล (Governance Model) ที่เหมาะสม, การเสริมสร้างความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความปลอดภัยของข้อมูล (Security) อย่างเข้มงวด และที่สำคัญคือการมีมนุษย์เป็นผู้กำกับดูแลและควบคุมการทำงานของ AI (Human-in-the-loop)
GenAI กับการเปลี่ยนแปลงองค์กร และโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์
Generative AI (GenAI) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ ๆ ได้ ถูกคาดหวังให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนเวิร์คโฟลว์การทำงานขององค์กรในหลากหลายมิติ ส่งผลให้กว่า 42% ของงบประมาณการลงทุนด้าน AI ของธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัส ถูกจัดสรรไปกับการนำ GenAI เข้ามาประยุกต์ใช้ในส่วนงานต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงการลงทุนด้าน AI โดยรวม ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค การลงทุน AI เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการด้านไอที (IT Operations) ถือเป็นหัวข้อที่ได้รับความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่ธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัสให้ความสำคัญกับการลงทุน AI เพื่อสนับสนุนงานด้านการให้บริการลูกค้า (Customer Service) เป็นลำดับแรก สำหรับการนำ AI มาใช้ในด้านอื่น ๆ ธุรกิจในเอเชีย แปซิฟิค ให้ความสำคัญกับการใช้งาน AI เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เป็นอันดับสอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development) เป็นอันดับสาม ส่วนกลุ่มธุรกิจในอาเซียนพลัส เมื่อเจาะจงไปที่การประยุกต์ใช้ GenAI ได้ให้ลำดับความสำคัญกับการนำ GenAI มาใช้ในการปฏิบัติการด้านไอทีเป็นอันดับสอง และใช้ในงานด้านวิศวกรรมและการวิจัยและพัฒนา (Engineering and R&D) เป็นอันดับสาม
เพื่อให้การใช้งาน AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย รายงานยังพบว่า 65% ของธุรกิจในเอเชีย แปซิฟิค เลือกที่จะวางโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลของบริษัทไว้ภายในองค์กร (On-premise) และแบบไฮบริด (Hybrid) เพื่อรองรับการใช้งาน AI สาเหตุหลักที่ทำให้การวางระบบทั้งสองรูปแบบนี้เป็นที่นิยมคือ ประเด็นด้านความปลอดภัยของข้อมูล, ความหน่วงต่ำ (Low Latency) ในการส่งและรับข้อมูลซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว และความคล่องตัวในการบริหารจัดการและปรับขยายระบบตามความต้องการ ในขณะเดียวกัน มีเพียง 19% ของธุรกิจในเอเชีย แปซิฟิค ที่ยังคงใช้งานระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) เป็นหลักในการเก็บข้อมูลสำหรับ AI
สำหรับธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัส แนวโน้มก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดย 68% ของธุรกิจในภูมิภาคนี้เลือกใช้การวางระบบและรากฐานการเก็บข้อมูลในแบบไฮบริดและ On-premise ขณะที่ธุรกิจส่วนที่เหลือใช้คลาวด์สาธารณะเป็นหลัก
นายซินิซา นิโคลิค ผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจ HPC, AI & CSP ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคของ Lenovo กล่าวว่า “การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบไฮบริดนั้นตอบโจทย์ในการใช้งานในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการขยายและลดขนาดตามความต้องการใช้งานจริง (Scalability) และการควบคุมที่ผู้ใช้งานสามารถทำได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ โดย 63% ของธุรกิจทั่วโลกเลือกใช้การวางโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลของบริษัทแบบ On-premise และแบบไฮบริด เพื่อรองรับการใช้งาน AI
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าธุรกิจในอาเซียนพลัสนั้นนำเทรนด์การใช้งานนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของระดับเอเชีย แปซิฟิค และระดับโลกเสียอีก อันทำให้เห็นถึงแผนการที่ชัดเจนของธุรกิจในภูมิภาคนี้ในการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งาน AI ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเลอโนโวในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยีที่นำเสนอโซลูชัน AI ที่ครบครันรอบด้านสำหรับธุรกิจ ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่อัจฉริยะ และเป็นพาร์ทเนอร์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจในทุกประเภทภายใต้วิสัยทัศน์ Smarter AI for All ก็พร้อมเป็นตัวช่วยให้แก่ธุรกิจเหล่านี้”
AI PC: สัญญาณบวกของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มาพร้อมความสามารถในการประมวลผล AI โดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า AI PC กำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลสำรวจธุรกิจในเอเชีย แปซิฟิค พบว่า กว่า 43% เริ่มเห็นประสิทธิภาพและประโยชน์ที่ชัดเจนจากการใช้งาน AI PC แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประสิทธิภาพที่ได้รับนั้นจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนและน่าดึงดูด แต่การนำ AI PC มาใช้งานในวงกว้างยังคงมีเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับในกลุ่มประเทศอาเซียนพลัส ธุรกิจกว่า 65% กำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนนำ AI PC มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ซึ่งเชื่อว่าหากเทคโนโลยี AI PC มีความสมบูรณ์และได้รับการพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสามารถสร้าง ROI ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม การนำ AI PC มาใช้งานจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ เพื่อก้าวสู่การทำงานแบบดิจิทัลอย่างแท้จริง และปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรไปอีกขั้น
ความต้องการไอทีพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขับเคลื่อน AI
เพื่อให้การ переformen AI เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ผู้บริหารด้านสารสนเทศ (CIO) กว่า 34% ในเอเชีย แปซิฟิค และมากถึง 44% ในอาเซียนพลัส ต่างมองหาพาร์ทเนอร์ทางไอทีที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อเข้ามาช่วยบริหารจัดการความซับซ้อนของการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล, แก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI โดยตรง และช่วยรับมือกับปัญหาข้อจำกัดด้านงบประมาณ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ CIO ของธุรกิจในอาเซียนพลัส กว่า 56% กำลังมองหาและวางแผนที่จะใช้งานบริการจากไอทีพาร์ทเนอร์เหล่านี้ในอนาคตอันใกล้นี้ การมีพาร์ทเนอร์ทางไอทีที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้จะช่วยปิดช่องว่างดังกล่าว ทั้งยังเพิ่มโอกาสและลดภาระให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างทักษะให้บุคลากรภายใน และสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนแก่ธุรกิจในระยะยาว
นายแมทท์ คอดริงตัน รองประธานและผู้จัดการทั่วไป เลอโนโว ประจำภูมิภาคเกรทเทอร์ เอเชีย แปซิฟิค กล่าวเสริมว่า “การนำ AI มาเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระแสความนิยมในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ที่ธุรกิจและองค์กรต้องให้ความสำคัญ ธุรกิจและองค์กรจำเป็นต้องลงทุนในการสร้างระบบ การติดตั้ง และการใช้งาน AI โซลูชันต่าง ๆ ที่สามารถวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้เองผู้ให้บริการ AI โซลูชันจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ธุรกิจสามารถนำ AI ที่สามารถวัดผลได้มาใช้งานจริง ตัวอย่างเช่น โซลูชัน Lenovo’s AI Fast Start ที่สามารถเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการเริ่มต้น ทดลอง ปรับแต่ง และเพิ่มขอบเขตของงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และเข้าถึงเฟรมเวิร์คการทำงานที่ได้รับการทดสอบมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพ”
บทสรุปและทิศทางอนาคต
คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป เลอโนโว ประจำประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน กล่าวปิดท้ายว่า “อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยได้มีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Hub) ของภูมิภาคอาเซียน และธุรกิจในประเทศไทยก็กำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) โดยมีโฟกัสหลักคือการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้งานเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สามารถวัดค่าได้และดำเนินการอย่างมีจริยธรรมให้แก่ธุรกิจ เลอโนโวมีความภาคภูมิใจที่ได้อยู่คู่กับคนไทยและธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 20 ปี ด้วยเป้าหมายในการเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจและองค์กรในประเทศไทย
รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยีส่วนบุคคล ให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและความท้าทายในการประยุกต์ใช้ AI และใช้ AI เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้อย่างแท้จริง ผ่านพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่ครบครันของเลอโนโว ซึ่งมาพร้อมประสิทธิภาพการใช้งาน AI ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ปลายทาง, ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการใช้งาน AI, โซลูชันอัจฉริยะ และบริการที่ครอบคลุม เพื่อเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโตในระยะยาว เสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ และเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นำการใช้งาน AI ในระดับภูมิภาคและสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างยั่งยืน”
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกด้านการลงทุนและการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ สามารถดาวน์โหลดรายงาน Lenovo AP CIO Playbook 2025 และ Lenovo Global CIO Playbook 2025 ได้ตามช่องทางที่ระบุ
#เศรษฐกิจดิจิทัล #ปัญญาประดิษฐ์ #เลอโนโว #CIOPlaybook2025 #ธุรกิจอาเซียน #โครงสร้างพื้นฐานไอที #ไฮบริดคลาวด์ #AIประเทศไทย #ศูนย์กลางAI #GRC #ROI #GenAI #AIPC