สกมช. โชว์ผลสำเร็จอลังการ! ปั้นนักรบไซเบอร์ทะลุเป้ากว่า 13,000 คน

สกมช. โชว์ผลสำเร็จอลังการ! ปั้นนักรบไซเบอร์ทะลุเป้ากว่า 13,000 คน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางสมรภูมิภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นทั่วโลก ประเทศไทยกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างกำแพงป้องกันดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ผ่านการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของ “โครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระยะที่ 2” (Intensive Cybersecurity Capacity Building Program II) ซึ่งไม่เพียงบรรลุเป้าหมาย แต่ยังทะยานเกินความคาดหมาย สร้างบุคลากรคุณภาพกว่า 13,000 คน พร้อมยกระดับศักยภาพนักรบไซเบอร์ไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ ตอกย้ำความพร้อมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมั่นคงและปลอดภัย

สกมช. ได้จัดงานแถลงข่าวปิดโครงการฯ ระยะที่ 2 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และคณะผู้บริหาร ตลอดจนพันธมิตรสำคัญอย่าง บริษัท โทรคมนาคม แห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินงานโครงการ และผู้แทนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในความสำเร็จที่สะท้อนถึงก้าวย่างที่สำคัญของประเทศไทยบนเวทีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการ สกมช. กล่าวรายงานถึงผลการดำเนินงานอันน่าทึ่งของโครงการฯ ซึ่งดำเนินการภายใต้สถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (Thailand National Cyber Academy – THNCA) ว่า โครงการนี้ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคที่ภัยไซเบอร์มิได้เป็นเพียงเรื่องไกลตัว แต่แทรกซึมอยู่ในทุกมิติของสังคมและเศรษฐกิจ “ปัจจุบันภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกวงการ ส่งผลให้การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ” พลอากาศตรี อมร กล่าวเน้นย้ำ

โครงการฯ ระยะที่ 2 นี้ ได้ออกแบบหลักสูตรอย่างเข้มข้นและครอบคลุม เพื่อมุ่งยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้าด่าน เจ้าหน้าที่เทคนิค ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เนื้อหาการอบรมมีตั้งแต่หลักสูตรพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวม (Cybersecurity Fundamental) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมผ่านระบบ e-learning มากถึง 6,044 คน ไปจนถึงหลักสูตรระดับผู้เชี่ยวชาญ (Cybersecurity Professional) ที่มีผู้เข้าร่วมอีก 3,695 คนผ่านช่องทางเดียวกัน

สกมช.

นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรเฉพาะทางที่ลงลึกในทักษะสำคัญยิ่งยวด ได้แก่ การวิเคราะห์ภัยคุกคามไซเบอร์ (Cybersecurity Analyst), การทดสอบเจาะระบบ (Penetration Test), ความมั่นคงปลอดภัยของระบบควบคุมอุตสาหกรรม (OT Security), การเจาะระบบอย่างมีจริยธรรม (Certified Ethical Hacker – CEH), และการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางดิจิทัล (Computer Hacking Forensic Investigator – CHFI) ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาดแรงงานปัจจุบัน เห็นได้จากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมในหลักสูตรเฉพาะทางเหล่านี้รวมกันหลายพันคน ตามข้อมูลที่แสดงในโครงการระยะที่ 2

ความสำเร็จที่ปรากฏเป็นรูปธรรมและเกินความคาดหมาย คือ จำนวนผู้เข้าร่วมอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะ ทั้งในรูปแบบห้องเรียนปกติ (On-site) และรูปแบบออนไลน์ (e-learning) ที่พุ่งสูงถึงกว่า 13,000 คน จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เพียง 6,650 คน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความต้องการพัฒนาทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในวงกว้าง ครอบคลุมทั้งกลุ่มเป้าหมายหลัก อันได้แก่ บุคลากรในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII) ทั้ง 7 กลุ่ม,

หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator), หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอื่นๆ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายรอง คือ ประชาชนทั่วไปทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ตั้งแต่เยาวชน นักศึกษา ไปจนถึงผู้สูงอายุและผู้พิการ ที่ต้องการติดอาวุธความรู้เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามในโลกดิจิทัล การเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านระบบ e-learning ที่มีผู้เข้าร่วมรวมกว่า 10,188 คนใน 5 หลักสูตรหลัก ถือเป็นกลไกสำคัญในการกระจายองค์ความรู้ไปสู่วงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งหมุดหมายความสำเร็จที่ พลอากาศตรี อมร กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ คือ การยกระดับมาตรฐานบุคลากรไทยสู่ระดับสากล โครงการนี้ไม่เพียงให้ความรู้ แต่ยังส่งเสริมให้ผู้เข้าอบรมเข้าสอบเพื่อรับใบประกาศนียบัตรและใบรับรองความเชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ผลลัพธ์ที่โดดเด่นคือการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของผู้ที่สอบผ่านใบประกาศนียบัตร Certified Information Systems Security Professional (CISSP) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานสูงสุดของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ “จากเดิมที่ประเทศไทยมีผู้สอบผ่านใบประกาศนียบัตร CISSP เพียง 385 คน

ปัจจุบันมีผู้สอบผ่านใบประกาศนียบัตร CISSP จำนวนทั้งหมด 431 เพิ่มขึ้น 46 คน หรือ 12% หมายความว่าปัจจุบันในประเทศไทยของเรามี CISSP ทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 431 คนแล้ว” พลอากาศตรี อมร กล่าว ตัวเลข 12% ที่เพิ่มขึ้นนี้ แม้ดูเหมือนไม่มาก แต่ในวงการ CISSP ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการสอบผ่านนั้นมีความท้าทายสูง ถือเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญยิ่ง สะท้อนถึงคุณภาพการฝึกอบรมที่ได้มาตรฐาน และศักยภาพที่แท้จริงของบุคลากรไทยที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

นอกจาก CISSP แล้ว โครงการยังประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการสอบผ่านประกาศนียบัตรสากลอื่นๆ เช่น CompTIA Security+, CySA+, PenTest+ และประกาศนียบัตรจาก EC-Council อย่าง CEH, CHFI, ICS/SCADA โดยมีอัตราการสอบผ่านโดยรวมสูงถึง 89% จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เข้าสอบในโครงการ 901 คน

สกมช.

ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการทำงานอย่างหนักของ สถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (THNCA) ซึ่ง พลอากาศตรี อมร ชี้ว่า การเปิดตัว THNCA ถือเป็นอีกก้าวสำคัญ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ วิจัย และพัฒนาบุคลากรไซเบอร์ของประเทศ เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ทันสมัยและแข่งขันได้ “ผลความสำเร็จของโครงการนี้ คือหนึ่งบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม”

ทางด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดีอี ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในฐานะที่เป็นกลไกหลักในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนในยุคดิจิทัล “ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน รวมถึงภาคธุรกิจ และภาครัฐ” นายประเสริฐกล่าว

โครงการฯ ระยะที่ 2 นี้ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรทุกระดับ สอดคล้องกับนโยบาย “The Growth Engine of Thailand” ของกระทรวงฯ ที่มุ่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ควบคู่ไปกับการสร้างบุคลากรที่มีขีดความสามารถ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงได้อย่างยั่งยืน

นายประเสริฐ ยังได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึงการเร่งรัดแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างเร่งด่วน “จะประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้เปิดบัญชีแทน / บัญชีม้าในประเทศไทย เว็บพนันออนไลน์ รวมถึงมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์” พร้อมทั้งจะเพิ่มประสิทธิภาพระบบการอายัดบัญชีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากมาตรการเชิงรับแล้ว ยังมีแผนเชิงรุกในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ด้วยการจัดตั้งศูนย์เตือนภัยไซเบอร์ (Cyber Alert Center) ที่มีประสิทธิภาพ การยกระดับศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยฯ (CERT) ทุกระดับ และการส่งเสริมระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่ปลอดภัย

สำหรับหลักสูตรระดับผู้บริหาร Executive CISO รุ่นที่ 2 ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมถึง 73 คนนั้น นายประเสริฐมองว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความเข้าใจในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ในระดับองค์กรและระดับชาติ “โครงการนี้เป็นความพยายามสำคัญในการเร่งรัดพัฒนาความรู้และทักษะ… ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อประเทศในการยกระดับความสามารถการแข่งขัน การสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันเชิงระบบให้แก่ประเทศ” นายประเสริฐกล่าว

เมื่อมองไปข้างหน้า รมว.ดีอี ชี้ว่า “ก้าวต่อไป คือการต่อยอดความสำเร็จของโครงการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้บุคลากรไทยมีศักยภาพในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” ท่านแสดงความมั่นใจว่า องค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับ จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป “วันนี้ไม่ใช่แค่ปิดโครงการฯ ระยะที่ 2 เท่านั้น แต่เป็นการเปิดประตูสู่อนาคตของประเทศไทยในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และผมมั่นใจว่าก้าวต่อไปของเราจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายประเสริฐกล่าวปิดท้าย

ภายในงานยังได้มีพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการอบรมหลักสูตร Executive CISO#2 และพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ “ศิษย์เก่าดีเด่น THNCA ประจำปี 2568” แก่บุคลากรผู้สร้างคุณประโยชน์และมีผลงานโดดเด่นในด้านต่างๆ ซึ่งถือเป็นการยกย่องและสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรในแวดวงความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ต่อไป

ความสำเร็จของโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระยะที่ 2 นี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขผู้เข้าอบรมที่น่าประทับใจ หรือจำนวนใบประกาศนียบัตรที่เพิ่มขึ้น แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย การสร้าง “นักรบไซเบอร์” ที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ข้อมูลของประชาชนและภาคธุรกิจ ตลอดจนเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย สมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้

#ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ #Cybersecurity #สกมช #NCSA #THNCA #กระทรวงดีอี #DEministry #เศรษฐกิจดิจิทัล #DigitalEconomy #พัฒนาบุคลากร #Upskilling #Reskilling #CISSP #CompTIA #ECCouncil #นักรบไซเบอร์ #ภัยคุกคามทางไซเบอร์ #CyberThreats #Thailand

Related Posts