ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุค ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำระดับโลกที่ร่วมกันวางรากฐาน ทั้งการส่งเสริมการใช้งาน การพัฒนาทักษะบุคลากร การกำกับดูแลอย่างมีความรับผิดชอบ และการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจดิจิทัล ท่ามกลางความท้าทายด้านการปรับตัวและการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีเสวนาล่าสุดในหัวข้อเกี่ยวกับอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวโครงการ Nexus AI ได้รวบรวมผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เพื่อฉายภาพทิศทางการขับเคลื่อน AI ของประเทศไทยอย่างเข้มข้น เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกนี้มาสร้างประโยชน์สูงสุด ควบคู่ไปกับการวางกรอบธรรมาภิบาลที่เหมาะสม และการเตรียมความพร้อมให้คนไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ
ภาครัฐปักธง AI: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ
รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการสนับสนุนการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ อย่างเป็นระบบ ผ่านการประชุมคณะกรรมการ AI ชาติ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัลสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เน้นย้ำถึงภารกิจของ ดีป้า (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) ในการส่งเสริมการใช้ AI อย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่การสร้างบุคลากรทักษะสูง แต่ยังรวมถึงการทำให้คนไทยทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้
“สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมตั้งแต่ระดับรากฐาน ทำอย่างไรให้คนไทยเริ่มตระหนักรู้” ดร. ชินวุฒิกล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างบุคลากรทั้งสายไอทีและนอกสายไอที เพราะทุกวิชาชีพล้วนต้องใช้ AI นอกจากนี้ DEPA ยังได้จัดทำ “บัญชีบริการดิจิทัล” (Thailand Digital Catalogue) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Techhunt ซึ่งรวบรวมผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวกับ AI เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการสนับสนุนด้านเงินทุนผ่าน Digital Transformation Fund เพื่อเร่งการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล
ขณะที่ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้อธิบายถึงความจำเป็นของแผน AI แห่งชาติ (National AI Plan) ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่มีแผนลักษณะนี้ “เทคโนโลยีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ AI คือตัวที่เรามั่นใจว่าจะเป็น S-curve ทางด้านเทคโนโลยี” ดร. ชัยกล่าว แผน AI แห่งชาติไม่เพียงสร้างความตระหนักรู้ทั้งในและต่างประเทศ ดึงดูดการลงทุน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของภาครัฐ โดยมุ่งเน้นไปยังภาคส่วนที่มีศักยภาพและจำเป็น เช่น การดูแลสุขภาพ (Healthcare), การท่องเที่ยว (Tourism), และการเกษตร (Agriculture) ซึ่ง AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก
“เราต้องเลือก Sector ที่เป็นจุดแข็ง และแก้ Sector ที่เป็นจุดอ่อน เพราะ AI เอามาช่วยแก้ Sector ที่เป็นจุดอ่อนได้” ดร. ชัยย้ำถึงแนวทางการใช้ AI เพื่อสร้างการเข้าถึงที่ทั่วถึงและเท่าเทียม
ธรรมาภิบาล AI: สมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเสี่ยง
ในขณะที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ประเด็นด้านการกำกับดูแลและจริยธรรมก็ทวีความสำคัญ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้มุมมองว่า AI เปรียบเสมือนดาบสองคม การรีบออกกฎหมายอาจทำให้กฎหมายล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงเลือกแนวทางการกำกับดูแลที่เน้นสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์และความเสี่ยง
ETDA ได้วางกรอบการทำงาน 4 ระดับ ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงกับหน่วยงานนานาชาติ (UNESCO, OECD, UN, ASEAN) 2) การทำงานร่วมกับผู้กำกับดูแลในแต่ละภาคส่วน (เช่น การเงิน, สุขภาพ) เพื่อสร้างแนวปฏิบัติที่เหมาะสม 3) การส่งเสริมระดับองค์กร ผ่านการจัดตั้ง AI Governance Center (AIGC) ซึ่งเกิดขึ้นก่อน ChatGPT จะเป็นที่รู้จัก เพื่อออกมาตรฐานและแนวปฏิบัติ (Guideline) ให้องค์กรนำไปปรับใช้ 4) การสร้างความเข้าใจในระดับบุคคล ให้ประชาชนสามารถใช้ AI ได้อย่างสมดุลและรู้เท่าทันความเสี่ยง
“กฎหมาย AI ประเทศไทยต้องมี แต่ไม่ใช่พรุ่งนี้ เราต้องเตรียมการให้พร้อม เมื่อถึงวันที่พร้อม เราค่อยออกกฎหมาย” ดร. ศักดิ์กล่าวสรุปถึงแนวทางที่รอบคอบของไทย
มุมมองจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี: การประยุกต์ใช้และอนาคต AI
ภาคเอกชนที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกต่างเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน AI ในประเทศไทย
Amazon Web Services (AWS): นายเอริก คอนราด (Mr. Eric Conrad) Regional Managing Director – ASEAN, Public Sector, AWS แนะนำว่าในการลงทุนโครงการ AI ผู้บริหารไม่ควรมองแค่ต้นทุน แต่ควรมองถึงผลลัพธ์โดยรวม (Outcome) และควรเริ่มต้นจาก Use Case ที่ชัดเจนและเล็ก (Start small, focused) ทดสอบให้เห็นผลในเวลาอันสั้น แล้วจึงขยายผลอย่างรวดเร็ว (Scale fast) โดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มและเครื่องมือที่มีอยู่
ตัวอย่างความสำเร็จคือธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ใช้ AI ตรวจจับการฉ้อโกง (Fraud detection) โดยเฉพาะบัญชีม้า (Mule accounts) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ AWS ยังร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อสุขภาพจิต (AI MED) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาแพลตฟอร์มตรวจจับปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และตอบสนองได้เร็วขึ้นถึง 77%
นายเอริกย้ำว่า “กุญแจสำคัญคือการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือที่คุ้มค่า มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม และใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Use)” AWS ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล โดยลูกค้าเป็นผู้ควบคุมข้อมูลของตนเอง และมีเครื่องมืออย่าง Guardrails เพื่อให้ผลลัพธ์ของ AI สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
Microsoft: คุณโอม ศิวะดิตถ์ National Technology Officer, ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มองว่า AI กำลังพัฒนาจาก “ผู้ช่วย” (Co-pilot) ไปสู่ “ตัวแทน” ที่สามารถทำงานบางอย่างได้ (Agentic AI) ซึ่งจะเข้ามาผสมผสานกับการทำงานและบริการมากขึ้น ดังนั้น “AI Literacy” หรือความเข้าใจใน AI จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไป ผู้บริหาร ไปจนถึงนักพัฒนา
“การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ก็สำคัญไม่แพ้กัน” คุณโอมกล่าว Microsoft ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาทักษะ AI ให้คนไทย 1 ล้านคนภายในปีนั้น โดยร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน จัดทำเนื้อหาการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูงสำหรับนักพัฒนา พร้อมเน้นย้ำว่าการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องเกิดจากการ “ใช้แล้วเรียน เรียนแล้วใช้ เพื่อให้ใช้เป็น” ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อให้ใช้ได้ เพื่อสร้างผลิตภาพ (Productivity) อย่างแท้จริง และต้องตระหนักเสมอว่า AI ยังมีโอกาสผิดพลาด มนุษย์จึงยังต้องมีบทบาทในการพิจารณาและกลั่นกรอง
Google Cloud: คุณอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต Google ได้นำ AI มาใช้ประโยชน์นานแล้ว เช่น การกรองสแปมใน Gmail หรือการช่วยตลาดหลักทรัพย์ฯ คัดกรองบริษัทจดทะเบียน Google ยึดหลักการ Responsible AI ที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัย (Safe), มีประโยชน์ (Beneficial), สร้างด้วยมาตรฐานทางวิศวกรรมขั้นสูง (High engineering standards), และไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy)
คุณอรรถพลยังได้อ้างอิงรายงานเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia e-Conomy Report) ที่ชี้ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโตเป็นอันดับสองในภูมิภาค แต่ระดับความรู้ด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ยังตามหลังอยู่ ซึ่งเป็นช่องว่างที่ต้องเร่งเติมเต็ม “ถ้าเราเพิ่มศักยภาพคนในการใช้ เราก็จะสามารถนำศักยภาพที่เรามีอยู่ไปสู่เวทีระดับโลกได้” เขากล่าว
“ทักษะ” คือหัวใจสำคัญในยุค AI
ประเด็นที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือความสำคัญเร่งด่วนของการพัฒนาทักษะ AI (AI Skills) มร. เอริก จาก AWS ชี้ว่านวัตกรรม AI เกิดขึ้นเร็วมาก ทักษะจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตามให้ทัน “AI Ready ไม่ใช่แค่คุ้นเคยกับ AI แต่คือการเข้าใจวิธีทำงานร่วมกับ AI เข้าใจขีดความสามารถและข้อจำกัด รู้วิธี Prompt อย่างมีประสิทธิภาพ” เขากล่าว พร้อมเน้นว่าองค์กรต้องสร้างวัฒนธรรมการทดลอง (Experimentation), การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning), และการปรับตัว (Adaptability) ผลสำรวจยังพบว่านายจ้าง 94% มองหาทักษะ AI และผู้มีทักษะ AI มีรายได้สูงกว่าถึง 41%
ดร. ชัย จาก NECTEC แสดงความกังวลเกี่ยวกับช่องว่างทางทักษะที่กำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างคนที่ใช้ AI เป็นกับคนที่ไม่ใช้ “AI ไม่ได้มาแทนที่แรงงาน แต่คนที่เป็น AI จะมาแทนที่คนที่ไม่เป็น AI นี่เป็นเรื่องจริงและจริงมากขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว พร้อมฝากถึงผู้บริหารว่าต้องส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้และปรับตัว เพราะ Productivity จะแตกต่างกันมหาศาล
คำแนะนำสำหรับผู้บริหาร: ก้าวต่อไปในโลก AI
ในช่วงท้ายของการเสวนา ผู้บริหารแต่ละท่านได้ให้ข้อคิดสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในการขับเคลื่อน AI:
- คุณโอม ศิวะดิตถ์ National Technology Officer, ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย: เริ่มจากโจทย์ธุรกิจ (Business Problem) ไม่ใช่แค่มี AI เพราะเป็นเรื่องเท่ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง จัดการข้อมูลให้ดี และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความรับผิดชอบ
- คุณอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย: ตระหนักถึงศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย และเร่งแก้ปัญหา Digital Literacy เพื่อปลดล็อกการเติบโต
- Mr. Eric Conrad Regional Managing Director – ASEAN, Public Sector, AWS: ให้ความสำคัญกับความเร็วของนวัตกรรม (Pace of Innovation) สร้างวัฒนธรรมการทดลอง การเรียนรู้ต่อเนื่อง และการปรับตัว
- ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa): ประเมินความพร้อม (Maturity) ขององค์กร มอง AI เป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) และใช้พื้นที่ทดลอง (Sandbox) เพื่อทดสอบไอเดียอย่างรวดเร็ว
- ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) : มอง AI เป็นกลยุทธ์ (Strategy) ไม่ใช่แค่เครื่องมือ คำนึงถึงคุณค่า (Value) เป็นอันดับแรก ออกแบบโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบ (Responsible by Design) เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม (Platform Thinking) และเตรียมคนให้พร้อมสำหรับอนาคต (Future-proof Talent)
- ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC): ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการพัฒนาทักษะ AI และผลักดันให้ทุกคนในองค์กรเรียนรู้และปรับตัว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
โดยสรุป ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ยุค AI ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาทักษะ การวางกรอบธรรมาภิบาลที่เหมาะสม และการส่งเสริมการนำไปใช้อย่างมีกลยุทธ์ คือปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของประเทศไทยในการคว้าโอกาสและรับมือความท้าทายจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นี้
#AI #Thailand #DigitalEconomy #AISkills #ResponsibleAI #AIGovernance #DEPA #NECTEC #ETDA #AWS #Microsoft #GoogleCloud #ปัญญาประดิษฐ์ #เศรษฐกิจดิจิทัล #ทักษะAI #ธรรมาภิบาลAI #เทคโนโลยี #NexusAI