ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้างชี้ การพิสูจน์กำลังคอนกรีตซากตึก สตง. คือโอกาสสำคัญในการไขสาเหตุการถล่ม แนะ 5 แนวทางเก็บหลักฐานให้รัดกุม ครอบคลุม และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หวั่นกระบวนการปัจจุบันมีช่องโหว่ ทำหลักฐานอ่อน กระทบการค้นหาความจริง จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการก่อนสายเกินแก้
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – การถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยังคงเป็นปริศนา แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าหนึ่งเดือน การเก็บตัวอย่างคอนกรีตล่าสุดเพื่อทดสอบกำลังอัด แม้เป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ถูกตั้งคำถามถึงความครอบคลุมและความน่าเชื่อถือ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ชี้ว่านี่อาจเป็น “โอกาสสุดท้าย” ในการเข้าถึงหลักฐานชิ้นสำคัญบริเวณผนังปล่องลิฟต์ พร้อมเสนอ 5 ข้อเสนอแนะเร่งด่วนเพื่อยกระดับการเก็บข้อมูลทางนิติวิศวกรรมศาสตร์ หวั่นหากไม่ดำเนินการ อาจได้ข้อมูลที่ไม่หนักแน่นพอและมีข้อโต้แย้งในอนาคต
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอาคารสูงขนาดใหญ่ ได้พังถล่มลงมาอย่างไม่คาดฝัน สร้างความตื่นตระหนกและคำถามตัวใหญ่ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการวิบัติครั้งนี้ แม้จะมีการวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆ นานา แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ท่ามกลางความสนใจของสาธารณชนที่ต้องการคำตอบว่าเหตุใดอาคารที่ควรจะมีความมั่นคงแข็งแรงจึงถล่มลงได้อย่างง่ายดาย
ความคืบหน้าล่าสุดในการสืบหาสาเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าดำเนินการเจาะเก็บตัวอย่างคอนกรีต หรือที่เรียกกันว่า “ลูกปูน” จากซากอาคาร เพื่อนำไปทดสอบกำลังอัดในห้องปฏิบัติการ อันเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะพิสูจน์ว่าคุณภาพของคอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นได้มาตรฐานตามที่ได้ออกแบบไว้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวกลับจุดประกายให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และข้อกังขาในหมู่ผู้เชี่ยวชาญและประชาชน ถึงวิธีการเก็บตัวอย่าง ว่าอาจจะยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ หรือมีการเลือกเก็บเฉพาะในจุดที่โครงสร้างยังคงสภาพสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผลการทดสอบที่จะตามมา
ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ลงพื้นที่ตรวจสอบซากอาคาร สตง. ที่ถล่มเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 ได้ให้ทัศนะและความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความเร่งด่วนของการเก็บข้อมูลทางวิศวกรรมในเวลานี้
ศ.ดร.อมร กล่าวว่า “ขณะนี้หน้างานได้ทำการรื้อถอนซากอาคารจนถึงระดับพื้นดินแล้ว ทำให้ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะสามารถเข้าถึงชิ้นส่วนสำคัญ นั่นคือ ผนังปล่องลิฟต์ ที่ยังคงเหลือซากอยู่บางส่วนบริเวณชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นจุดที่คาดการณ์กันว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพังถล่ม การพิสูจน์กำลังอัดของคอนกรีต ณ ตำแหน่งผนังปล่องลิฟต์นี้ จึงถือเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสืบหาสาเหตุที่แท้จริงของการถล่มในครั้งนี้”
จากภาพข่าวที่ปรากฏ ศ.ดร.อมร ตั้งข้อสังเกตว่า การเก็บตัวอย่างที่ดำเนินการไปนั้น เป็นการเก็บลูกปูนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางค่อนข้างใหญ่ ประมาณ 3-4 นิ้ว (75-100 มิลลิเมตร) และดูเหมือนจะเก็บในบริเวณผนังที่ยังมีความสมบูรณ์อยู่เป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่ข้อโต้แย้งว่าการเก็บตัวอย่างลักษณะนี้เพียงพอและเป็นตัวแทนที่ดีของโครงสร้างทั้งหมดหรือไม่ หรือมีการเลือกปฏิบัติในการเก็บตัวอย่างหรือไม่
เพื่อคลายข้อสงสัยและเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับการสืบสวนทางนิติวิศวกรรมศาสตร์ในกรณีนี้ ศ.ดร.อมร ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 5 ประการ ดังนี้
1. การวางแผนเก็บตัวอย่างล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ: การเก็บตัวอย่างลูกปูนไม่ควรเป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นอย่างเฉพาะกิจ แต่ควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบควบคู่ไปกับการรื้อถอนซากอาคาร เนื่องจากโครงสร้างแต่ละส่วนของอาคาร ไม่ว่าจะเป็น เสา คาน ผนัง หรือพื้น ถูกออกแบบให้ใช้คอนกรีตที่มีกำลังอัดแตกต่างกันไป ดังนั้น แผนการเก็บตัวอย่างควรระบุชัดเจนว่า ในแต่ละวันจะเก็บตัวอย่างจากโครงสร้างส่วนใด บริเวณใด และต้องมีการทำเครื่องหมาย กำกับตำแหน่ง พร้อมทั้งบันทึกภาพถ่ายไว้อย่างชัดเจน เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ตรวจสอบได้ในภายหลัง
2. การเก็บตัวอย่างแบบสุ่มอย่างครอบคลุมตามหลักสถิติ: เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนภาพรวมของวัสดุอย่างแท้จริง การเก็บตัวอย่างลูกปูนควรใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling) กระจายให้ทั่วถึงทุกพื้นที่โครงสร้างที่สำคัญอย่างครอบคลุมตามหลักการทางสถิติ จะต้องมีจำนวนตัวอย่างที่มากเพียงพอ (Sufficient Sample Size) เพื่อให้สามารถวิเคราะห์หาค่าทางสถิติที่สำคัญ เช่น ค่ากำลังอัดสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย และค่าความแปรปรวน (Variance) ได้อย่างน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือ ควรเก็บตัวอย่างทั้งจากบริเวณที่โครงสร้างยังสมบูรณ์ และบริเวณที่ได้รับความเสียหายหรือไม่สมบูรณ์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ให้เห็นความแตกต่างและอาจบ่งชี้ถึงจุดอ่อนได้
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยสมัยใหม่: นอกเหนือจากการเจาะเก็บตัวอย่างลูกปูนทรงกระบอกขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมแล้ว ปัจจุบันมีเทคโนโลยีและวิธีการทางเลือกที่สามารถนำมาใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่โครงสร้างไม่สมบูรณ์หรือเสียหายมาก จนไม่สามารถเก็บตัวอย่างขนาดใหญ่ได้ ตัวอย่างเช่น การเก็บตัวอย่างลูกปูนขนาดเล็ก (Micro-coring) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1 นิ้ว (ประมาณ 25 มิลลิเมตร) ตามมาตรฐาน NDST 3439 ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวิธีที่ทำลายโครงสร้างน้อยกว่าและสามารถเก็บจากพื้นที่จำกัดได้ หรือแม้กระทั่งการเก็บตัวอย่างผงคอนกรีต (Concrete Powder Sampling) เพื่อนำไปวิเคราะห์หากำลังอัด ซึ่งเป็นแนวทางที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งมีการรายงานผลสำเร็จไปเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา การนำเทคนิคเหล่านี้มาประยุกต์ใช้จะช่วยให้การเก็บข้อมูลทำได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
4. การเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศร่วมให้คำแนะนำ: เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และได้มุมมองที่หลากหลาย การเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งมีความชำนาญเฉพาะทางด้านวัสดุศาสตร์ (Materials Science) และมีประสบการณ์ในการประเมินกำลังอัดของคอนกรีตจากซากปรักหักพัง มาร่วมให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยเสริมมุมมองด้านนิติวิศวกรรมศาสตร์ (Forensic Engineering) จากมาตรฐานและประสบการณ์สากล
5. การเก็บรักษาชิ้นส่วนตัวอย่างไว้เป็นหลักฐาน: ชิ้นส่วนโครงสร้างที่ได้ทำการเก็บตัวอย่างลูกปูนไปแล้ว ไม่ควรถูกทำลายทิ้งไปทันที แต่ควรมีการตัดแบ่งชิ้นส่วนนั้นออกเป็นชิ้นย่อยๆ แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นวัตถุพยานหรือหลักฐานทางกายภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญหรือคณะทำงานชุดอื่นๆ สามารถนำกลับมาตรวจสอบหรือวิเคราะห์ซ้ำได้ในอนาคตหากมีความจำเป็น หรือมีประเด็นข้อสงสัยใหม่ๆ เกิดขึ้น
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยความห่วงใยว่า “เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากเราไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางทั้ง 5 ข้อข้างต้นนี้ได้ การเก็บข้อมูลวัสดุที่ทำไป ก็อาจจะกลายเป็นข้อมูลที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และอาจนำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อกังขาได้ในภายหลัง และขณะนี้ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ที่หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ควรจะต้องพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแนวทางการเก็บข้อมูลให้มีความเหมาะสม รัดกุม และน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะหลังจากนี้ การจะย้อนกลับมาเก็บข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมอีก คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว”
การสืบหาสาเหตุการถล่มของอาคาร สตง. ครั้งนี้ จึงเดินทางมาถึงจุดที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “โค้งสุดท้าย” ของการรวบรวมพยานหลักฐานทางกายภาพชิ้นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตในจุดยุทธศาสตร์อย่างผนังปล่องลิฟต์ การดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และเป็นไปตามหลักวิชาการที่ทันสมัย ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เข้าใกล้ความจริงของสาเหตุการถล่มได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และเป็นบทเรียนสำคัญในการป้องกันโศกนาฏกรรมลักษณะเดียวกันในอนาคตอีกด้วย
#ตึกสตงถล่ม #สตง #สาเหตุตึกถล่ม #พิสูจน์คอนกรีต #กำลังอัดคอนกรีต #อมรพิมานมาศ #สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย #วิศวกรรมโครงสร้าง #นิติวิศวกรรม #ความปลอดภัยอาคาร #การเก็บตัวอย่างคอนกรีต #ตรวจสอบอาคาร