SCB CIO ประเมินเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความเปราะบาง แม้สงครามการค้ามีสัญญาณผ่อนคลายลง แต่กำแพงภาษีนำเข้าที่ยังอยู่ในระดับสูง และความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก อาจสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกำไรบริษัทจดทะเบียน กระทบชิ่งดันเงินเฟ้อเร่งตัว แนะกลยุทธ์ลงทุนแบบ Selective เน้นพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้น หุ้นขนาดใหญ่คุณภาพดีในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และธีม AI ที่ยังมีศักยภาพเติบโต
ธนาคารไทยพาณิชย์ โดย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ออกบทวิเคราะห์ล่าสุด ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ประเมินทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก โดยชี้ว่าแม้สถานการณ์สงครามการค้าจะเริ่มมีสัญญาณผ่อนคลายลงบ้าง แต่ปัจจัยความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายการค้ายังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rates) ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2473 สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงมีความเปราะบาง และสร้างความกังวลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ซึ่งอาจซ้ำรอยช่วงวิกฤตโควิด-19
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก มี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าติดตาม ได้แก่:
1. สงครามการค้าผ่อนคลาย แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้ายังสูง: อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง สร้างความกังวลว่าห่วงโซ่อุปทานโลกอาจหยุดชะงักได้ คล้ายกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่บริษัทในสหรัฐฯ เผชิญภาวะขาดแคลนสินค้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม ความกังวลนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกโดยรวมมีความเปราะบางมากขึ้น
ผลกระทบจากภาษีนำเข้ายังเป็นตัวเร่งให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนการผลิตและราคาสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสหรัฐฯ มีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนในระดับสูงเมื่อเทียบกับการนำเข้ารวม และยังมีสัดส่วนสินค้านำเข้าต่อการผลิตรวมในประเทศที่สูงในหลายอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และอุตสาหกรรมสิ่งทอ หากความไม่แน่นอนทางการค้ายังคงยืดเยื้อต่อไป อาจสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้ ดังเช่นกรณีการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนในอังกฤษลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และยุโรป
สถานการณ์ดังกล่าวยังสร้างความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากระหว่างการพยุงเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย หรือการควบคุมเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอันเนื่องมาจากผลกระทบของภาษีนำเข้า การใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในระดับสูง และนโยบายกีดกันผู้อพยพ ซึ่งทำให้การประเมินโอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
2. ความไม่แน่นอนทางการค้า กระทบเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน: ความไม่แน่นอนทางการค้าที่ยังคงมีอยู่ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่าความเปราะบางของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะโมเดลธุรกิจและความเชื่อมโยงบนห่วงโซ่อุปทาน
จากการประเมินผลกระทบของภาษีนำเข้า บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีมุมมองที่แตกต่างกัน บางแห่งประเมินว่าภาษีจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานโดยตรง บางแห่งเลือกที่จะไม่เปิดเผยแนวโน้มผลกำไรในปีนี้ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งเตรียมที่จะส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทำให้การคาดการณ์ทั้งในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของ บจ.สหรัฐฯ เป็นไปอย่างยากลำบาก ท่ามกลางความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่สูงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจทำให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นในภูมิภาคอื่น และเน้นการคัดเลือกสินทรัพย์ลงทุน (Selective) มากขึ้น
อย่างไรก็ดี SCB CIO ยังคงมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม บนพอร์ตการลงทุนหลักระยะยาว ยังมีความเหมาะสม เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ (deregulation) และการย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ (reshoring) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายลงทุน (capex) นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในระดับโลก มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจำนวนมาก และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROIC) ที่สูง ซึ่งสะท้อนความสามารถของบริษัทจดทะเบียนในการจัดสรรทุนให้เกิดผลกำไร SCB CIO ยังคงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
3. การปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ และแรงกดดันต่อพันธบัตรระยะยาว: ประเด็นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดยสถาบันจัดอันดับ Moody’s ประกอบกับความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และแนวโน้มการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield) อายุยาว มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากนักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term Premium) จากการถือครองพันธบัตรระยะยาวที่สูงขึ้น
SCB CIO วิเคราะห์ว่า หากสหรัฐฯ ยังคงมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ได้ ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว ทางการสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังที่มุ่งเน้นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับคืนมา หรืออาจต้องเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยเฉพาะบนพันธบัตรระยะยาว เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน ด้วยเหตุนี้ SCB CIO จึงแนะนำให้เน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี (Investment Grade Bond) ของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยสั้นเป็นหลัก มุมมองนี้สอดคล้องกับ BlackRock ที่ยังคงแนะนำ Underweight (ลดน้ำหนักการลงทุน) ในพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีระยะยาวของสหรัฐฯ แต่ Overweight (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) ในพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีระยะสั้นของสหรัฐฯ
กลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอน:
นายศรชัย กล่าวเสริมว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายที่เพิ่มขึ้น การมองหาโอกาสการลงทุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ โดยการลงทุนต้องเน้น Selective มากขึ้น เช่น การเลือกหุ้นรายภูมิภาค และรายกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม”
สำหรับคำแนะนำการลงทุนเฉพาะเจาะจง SCB CIOมีมุมมองดังนี้:
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ยังคงมีโอกาสการลงทุนในดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ โดยต้องเน้นการคัดเลือกหุ้นสหรัฐฯ ที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในดัชนีหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมี Valuation ที่ค่อนข้างแพง และมีอัตรากำไรต่ำ
- ตลาดหุ้นยุโรป: แนะนำให้เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ไม่แพง และได้รับประโยชน์จากธีมการลงทุนระยะยาว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกลุ่มธนาคารที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 25% ทั้งยังมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ต้นทุนลดลง และมีรายได้สุทธิจากดอกเบี้ย (Net Interest Income) ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยังมีแผนเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน
- ตลาดหุ้นญี่ปุ่น: ยังคงได้รับอานิสงส์จากกระแสการปฏิรูปบรรษัทภิบาล (Corporate Governance Reform) ในญี่ปุ่นที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และการกลับมาของภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มพ้นจากภาวะเงินฝืดที่ยาวนาน ในส่วนของ BlackRock ก็ยังคงคำแนะนำ Overweight ในหุ้นญี่ปุ่น โดยมองว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged) มีความน่าสนใจ เนื่องจากค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ตลาดโลกเผชิญกับความผันผวน
- ธีมการลงทุน AI ในเอเชีย: การมองหาโอกาสลงทุนในธีม AI ในภูมิภาคเอเชีย อาจช่วยกระจายความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในธีม AI โดยรวมได้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์ภายในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันค่อนข้างต่ำ SCB CIO แนะนำให้หาโอกาสลงทุนในกลุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น บริษัทผู้ผลิตชิป, ซัพพลายเออร์ด้านเซิร์ฟเวอร์และการจัดเก็บข้อมูล (Storage) รวมถึงกลุ่มซอฟต์แวร์ เช่น บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และบริษัทที่พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ปลายทาง (End-user applications) ขณะที่ธีม AI ของจีนก็มีแนวโน้มที่จะช่วยสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจจริงของจีนได้เช่นกัน
ทองคำ สินทรัพย์หลบภัยในยามผันผวน:
นายศรชัย ปิดท้ายว่า “สำหรับการมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าสูง เรามองว่า ทองคำสามารถป้องกันพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตได้” โดยราคาทองคำได้ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 25.3% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นที่โดดเด่นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ ทองคำยังมีปัจจัยหนุนในระยะกลางถึงระยะยาว จากการที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน มีแนวโน้มที่จะซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
หมายเหตุ: เอกสารนี้จัดทำโดย SCB CIOโดยอ้างอิงจากบทวิเคราะห์รายเดือน ซึ่งเผยแพร่ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777
#SCBCIO #เศรษฐกิจโลก #สงครามการค้า #การลงทุน #หุ้นสหรัฐ #หุ้นญี่ปุ่น #AI #ทองคำ #BlackRock #ภาษีนำเข้า #เงินเฟ้อ #พันธบัตร #การลงทุนต่างประเทศ #ข่าวเศรษฐกิจ