SCG ประกาศบนเวที INTERCEM Asia 2025! นำทัพปูนไทยสู่ Net Zero 2050

SCG ประกาศบนเวที INTERCEM Asia 2025! นำทัพปูนไทยสู่ Net Zero 2050

เอสซีจี สร้างความเชื่อมั่นให้นานาชาติบนเวที INTERCEM Asia 2025 ประกาศวิสัยทัศน์ “Inclusive Green Growth” เดินหน้าเต็มกำลังสู่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ตั้งเป้า Net Zero Emission ภายในปี 2050 ชูนวัตกรรม “ดินเผา (Calcined Clay)” หรือ LC3 ลดการใช้ปูนเม็ดกว่า 40-50% เป็นธงนำ พร้อมเผยกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านพลังงาน โซลูชันฐานธรรมชาติ และเทคโนโลยีการก่อสร้างแห่งอนาคตอย่าง 3D Printing และ UHPC ตอกย้ำบทบาทผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีอุตสาหกรรมซีเมนต์ระดับภูมิภาคเอเชีย INTERCEM Asia 2025 ได้รับเกียรติจากคุณมนสิช สาริกะภูติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยี ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน (SCG Cement and Green Solutions) ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ เผยทิศทางและยุทธศาสตร์สำคัญของเอสซีจีในการปฏิวัติอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยและภูมิภาคสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ท่ามกลางความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

การประกาศครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอสซีจีในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ที่พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด “Inclusive Green Growth” หรือการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2050

คุณมนสิช สาริกะภูติ ได้เริ่มต้นการบรรยายด้วยการย้อนภาพความสำเร็จและบทบาทของเอสซีจีที่มีมายาวนานกว่า 112 ปี ในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศ และในวันนี้ เอสซีจีพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ยั่งยืน “เป้าประสงค์หลักของเราคือการสร้างความมั่นคงในระยะยาวผ่านนวัตกรรมสีเขียว โดยมุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอนในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์” คุณมนสิชกล่าว “ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืนอย่างแท้จริง”

ความท้าทายหลักของอุตสาหกรรมซีเมนต์คือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน คุณมนสิชได้อธิบายถึงแหล่งที่มาของการปล่อย CO2 ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ว่า ส่วนใหญ่ประมาณ 60% เกิดจากการเผาหินปูน (Limestone Calcination) เพื่อผลิตปูนเม็ด (Clinker) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก, ประมาณ 30% มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และอีก 10% มาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า เอสซีจีจึงได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดการปล่อย CO2 ลง 30-40% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2020 (ซึ่งมีการปล่อย CO2 ประมาณ 24 ล้านตัน) ก่อนจะมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050

เปลี่ยนโลกสู่ “ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ”

หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์การลดคาร์บอนคือการพัฒนานวัตกรรม “ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ” อย่างต่อเนื่อง คุณมนสิชได้เปิดเผยถึงความสำเร็จในการพัฒนาปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ “Generation III” ที่ใช้นวัตกรรม “ดินเผา (Calcined Clay)” หรือที่รู้จักในชื่อ LC3 (Limestone Calcined Clay Cement) “ด้วยเทคโนโลยี LC3 นี้ เราสามารถลดสัดส่วนการใช้ปูนเม็ดลงได้มากถึง 40-50% โดยยังคงรักษาคุณสมบัติด้านความแข็งแรงของปูนซีเมนต์ไว้ได้อย่างครบถ้วนตามมาตรฐาน” คุณมนสิชเน้นย้ำ

SCG

“ปัจจุบันเอสซีจีมีโรงงานต้นแบบที่สามารถผลิตปูนซีเมนต์ดินเผาได้ราว 70,000 ตันต่อปี และเรามีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและเปิดตัวผลิตภัณฑ์นี้อย่างเต็มรูปแบบในตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการลดการปล่อย CO2 ของอุตสาหกรรม” ไม่เพียงเท่านั้น เอสซีจียังคงมองไปข้างหน้า โดยร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง System Company ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพจาก MIT เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปูนซีเมนต์รุ่นต่อไป (Generation IV) ที่คาดว่าจะสามารถลดการใช้ปูนเม็ดได้ในสัดส่วนที่สูงขึ้นอีก

นอกเหนือจากการปฏิวัติผลิตภัณฑ์ การปรับปรุง “กระบวนการผลิตสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Green Process & Energy Transition)” ถือเป็นอีกหนึ่งแกนหลักของยุทธศาสตร์ คุณมนสิชเปิดเผยถึงเป้าหมายอันท้าทายของเอสซีจีที่จะเลิกใช้ถ่านหินในการผลิตปูนซีเมนต์ให้ได้ 100% ภายในปี 2040 โดยจะเปลี่ยนไปใช้ “เชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuels – AF)” เช่น ชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel – RDF) ที่ผ่านการคัดแยกและแปรรูปอย่างมีประสิทธิภาพ “

ณ ปัจจุบัน เราสามารถทดแทนการใช้ถ่านหินด้วยเชื้อเพลิงทางเลือกได้เฉลี่ยสูงถึง 50% และในบางช่วงเวลาสามารถทำได้ถึง 65% นับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล” คุณมนสิชกล่าว พร้อมกันนี้ เอสซีจียังมุ่งมั่นเพิ่มสัดส่วนการใช้ “พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)” ทั้งจากระบบนำความร้อนทิ้งในกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ (Waste Heat Recovery) และการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) โดยตั้งเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2040 เช่นกัน

สำหรับปริมาณ CO2 ที่ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการลดที่ต้นทาง คุณมนสิชยอมรับว่าเป็นความท้าทายที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วย “สำหรับ CO2 ที่เหลืออยู่อีกประมาณ 50% เราจำเป็นต้องบริหารจัดการด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS), โซลูชันฐานธรรมชาติ (Nature Base Solution – NCS), และการจัดหาคาร์บอนเครดิต”

แม้ว่าเทคโนโลยี CCUS จะยังอยู่ในช่วงพัฒนาและมีต้นทุนที่สูง แต่เอสซีจีก็ให้ความสำคัญและศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาประยุกต์ใช้ ขณะเดียวกัน “โซลูชันฐานธรรมชาติ (NCS)” เช่น โครงการปลูกป่าทั้งป่าบกและป่าชายเลน การสนับสนุนป่าชุมชนผ่านโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ และการสร้างฝายชะลอน้ำกว่า 120,000 แห่งทั่วประเทศ ก็เป็นสิ่งที่เอสซีจีดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฟื้นฟูระบบนิเวศ

ในโอกาสนี้ คุณมนสิชยังได้นำเสนอนวัตกรรมการก่อสร้างแห่งอนาคตที่เอสซีจีกำลังบุกเบิก ไม่ว่าจะเป็น “เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing Construction)” โดย SCG 3DP ซึ่งช่วยปฏิวัติวงการก่อสร้างด้วยการลดระยะเวลา ลดการใช้แรงงาน และลดของเสียได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังปลดล็อกขีดจำกัดด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมให้มีความอิสระและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างโครงการที่นำมาจัดแสดง เช่น ร้านกาแฟดีไซน์โฉบเฉี่ยว ศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัย และแม้กระทั่งการสร้างปะการังเทียมจากวัสดุรีไซเคิลผสมคอนกรีตเพื่อช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล

และอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าจับตามองคือ “คอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ (Ultra High-Performance Concrete – UHPC)” วัสดุก่อสร้างขั้นสูงที่มีความแข็งแรงและความทนทานเหนือกว่าคอนกรีตทั่วไปหลายเท่า ทำให้สามารถออกแบบโครงสร้างให้เพรียวบางลง ใช้วัสดุน้อยลง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาพรวม แต่ยังช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างและสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงาม เช่น สะพาน UHPC ที่สำนักงานใหญ่เอสซีจี ซึ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติเป็นเครื่องการันตี

คุณมนสิช สาริกะภูติ ได้เน้นย้ำว่า การเดินทางสู่ Net Zero ของเอสซีจีนั้นขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “Inclusive Green Growth” ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยการสร้าง “สังคมสีเขียว (Green Society)” ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทุกระดับ ตั้งแต่สมาคมผู้ผลิตปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ในการผลักดัน “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ให้เป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ไปจนถึงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ

คุณมนสิช สาริกะภูติ กล่าวปิดท้ายการบรรยายอย่างหนักแน่นว่า เส้นทางสู่ Net Zero ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันล้ำค่าในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า ปัจจัยสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จนั้นประกอบด้วยสามเสาหลัก ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, ความร่วมมือ (Collaboration) อย่างเข้มแข็งกับทุกภาคส่วน

และ การสนับสนุน (Support) จากภาครัฐในเชิงนโยบายและกฎหมาย รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากภาคประชาชนและผู้บริโภค เอสซีจีมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ และเราเชื่อมั่นว่าด้วยความพยายามร่วมกัน เราจะสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

คำกล่าวของคุณมนสิช สาริกะภูติ บนเวที INTERCEM Asia 2025 ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการประกาศทิศทางที่ชัดเจนของเอสซีจี แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยังอุตสาหกรรมซีเมนต์ทั่วทั้งภูมิภาค ถึงความจำเป็นและความมุ่งมั่นในการปรับตัวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยและเอสซีจีพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

#SCG #NetZero2050 #InclusiveGreenGrowth #ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ #LC3 #ดินเผา #นวัตกรรมก่อสร้าง #3DPrinting #UHPC #INTERCEMAsia2025 #ความยั่งยืน #GreenSolution #ESG #ซีเมนต์แห่งอนาคต #ลดโลกร้อน #อุตสาหกรรมสีเขียว

Related Posts