SCG ผนึก Serendix โชว์สุดยอดนวัตกรรมอาคารพิมพ์ 3 มิติ ที่ Osaka Expo 2025

SCG ผนึก Serendix โชว์สุดยอดนวัตกรรมอาคารพิมพ์ 3 มิติ ที่ Osaka Expo 2025

SCG โดย SCG 3DP ร่วมมือกับ Serendix สตาร์ทอัพญี่ปุ่น เปิดตัว “Serendix 55” อาคารต้นแบบจากเทคโนโลยีการพิมพ์ปูน 3 มิติ ณ โอซาก้า เอ็กซ์โป 2025 โชว์ศักยภาพการก่อสร้างแห่งอนาคต รวดเร็ว แม่นยำ ประหยัดทรัพยากร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปฏิวัติวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างระดับโลก

โอซาก้า, ญี่ปุ่น – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมระดับโลก เมื่อ SCG 3DP ผู้นำด้านนวัตกรรมการก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นรูปปูน 3 มิติ จากประเทศไทย ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Serendix Inc. บริษัทสตาร์ทอัพผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวอาคาร “Serendix 55” ซึ่งเป็นอาคารที่พักอาศัยและจัดแสดงนวัตกรรมที่ก่อสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ปูนมอร์ตาร์ 3 มิติ (3D Concrete Printing) ทั้งหลัง โดยอาคารแห่งนี้จะจัดแสดงอย่างเป็นทางการในงาน Osaka Expo 2025 ณ นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น สร้างความตื่นตัวและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีการก่อสร้างแห่งอนาคตที่กำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า

ประเด็นเด่น: นวัตกรรมก่อสร้างเปลี่ยนโลก สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ความร่วมมือระหว่าง SCG 3DP และ Serendix ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการผสานความเชี่ยวชาญของสององค์กรชั้นนำเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางการพัฒนาของอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มุ่งเน้นความรวดเร็ว ประสิทธิภาพ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาคาร “Serendix 55” ซึ่งตั้งอยู่ ณ Yumeshima Car park ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Yumeshima เพียง 3 นาที และอยู่ตรงข้ามกับพื้นที่จัดงาน Osaka Expo 2025 จึงเปรียบเสมือนหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในงานสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างอย่างเต็มรูปแบบ

จุดเด่นสำคัญของอาคาร “Serendix 55” อยู่ที่การออกแบบและก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นรูปปูนมอร์ตาร์ 3 มิติ ซึ่ง SCG 3DP เป็นผู้ร่วมพัฒนาและจัดหาปูนมอร์ตาร์สูตรพิเศษสำหรับเทคโนโลยีนี้โดยเฉพาะ ทำให้ได้โครงสร้างอาคารที่มีความแข็งแรงทนทานสูง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยลวดลายบนพื้นผิวทั้งภายนอกและภายในอาคารที่คล้ายคลึงกับสิ่งทอ สร้างมิติทางความงามที่แตกต่างจากอาคารทั่วไป เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้การก่อสร้างมีความแม่นยำสูง ลดความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์ และสามารถควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างได้ในทุกขั้นตอน

ความเร็วและประสิทธิภาพ: ปฏิวัติกระบวนการก่อสร้างแบบเดิม

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ชัดเจนที่สุดของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ คือ ความรวดเร็วในการก่อสร้าง สำหรับอาคาร “Serendix 55” ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 55 ตารางเมตร และสามารถขยายได้ถึง 200 ตารางเมตร ด้วยความกว้างถึง 6 เมตรโดยไม่จำเป็นต้องมีเสาค้ำกลางภายในอาคาร ทำให้สามารถออกแบบพื้นที่ใช้งานภายในได้อย่างอิสระและยืดหยุ่น โครงสร้างหลักของอาคารนี้ใช้เวลาในการพิมพ์ขึ้นรูปเพียง 1.5 ชั่วโมงเท่านั้น และใช้เวลาในการติดตั้งหลังคาไม้เพิ่มเติมอีกเพียง 3 ชั่วโมง ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของเทคโนโลยีนี้ เมื่อเทียบกับกระบวนการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่อาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

ความรวดเร็วนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดระยะเวลาโครงการโดยรวม แต่ยังส่งผลดีต่อการบริหารจัดการต้นทุนในหลายมิติ ทั้งการลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน การลดระยะเวลาการเช่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงการลดต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ การบริหารจัดการการก่อสร้างที่เป็นระบบในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบด้วยระบบดิจิทัล การเตรียมวัสดุ การพิมพ์ขึ้นรูปโครงสร้าง ไปจนถึงการติดตั้งส่วนประกอบอื่นๆ ช่วยให้สามารถควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียและสิ้นเปลืองวัสดุที่ไม่จำเป็น

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ก่อสร้างอย่างใส่ใจโลก

นอกเหนือจากความรวดเร็วและประสิทธิภาพแล้ว เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ยังตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนและการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ การก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีนี้ช่วยลดปริมาณขยะจากการก่อสร้างได้อย่างมาก เนื่องจากมีการใช้วัสดุปูนมอร์ตาร์ตามปริมาณที่คำนวณไว้จริง ลดเศษวัสดุเหลือทิ้งในไซต์งาน นอกจากนี้ การลดระยะเวลาก่อสร้างยังหมายถึงการลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการก่อสร้างอีกด้วย

SCG

SCG 3DP ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัสดุปูนมอร์ตาร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ ซึ่งสอดรับกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมและการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว จะทำให้อาคารที่สร้างด้วยเทคโนโลยีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง

มิติใหม่ของสถาปัตยกรรมและการออกแบบ

เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในงานออกแบบสถาปัตยกรรม ลวดลายพื้นผิวที่คล้ายสิ่งทอของอาคาร “Serendix 55” เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความสามารถในการสร้างสรรค์รูปทรงและพื้นผิวที่ซับซ้อน ซึ่งยากต่อการก่อสร้างด้วยวิธีแบบดั้งเดิม สถาปนิกและนักออกแบบสามารถปลดปล่อยจินตนาการได้อย่างเต็มที่ สร้างสรรค์อาคารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบสนองความต้องการใช้งานและความพึงพอใจด้านสุนทรียภาพได้อย่างหลากหลาย

การที่อาคาร “Serendix 55” มีความกว้างถึง 6 เมตรโดยไม่ต้องใช้เสาค้ำกลาง ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบพื้นที่ภายใน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่อเนกประสงค์และสามารถปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม

การนำเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติมาใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบในเชิงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังส่งผลในเชิงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง การลดต้นทุนการก่อสร้างและระยะเวลาการทำงานจะช่วยให้การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีความคล่องตัวมากขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาประหยัด หรือการก่อสร้างที่พักอาศัยฉุกเฉินในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ

นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการก่อสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังเผชิญ การใช้เครื่องจักรและระบบอัตโนมัติในการทำงานส่วนใหญ่ จะช่วยลดการพึ่งพาแรงงานคน และยังช่วยยกระดับทักษะของแรงงานให้หันไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องจักร การออกแบบ และการบำรุงรักษาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การที่ SCG 3DP เป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้และได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง Serendix ในการสร้างสรรค์โครงการที่โดดเด่นเช่นนี้ ถือเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก และเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรและองค์กรไทยในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง

ความท้าทายและอนาคตของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในงานก่อสร้าง

แม้ว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายบางประการที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อไป เช่น การพัฒนาวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายและมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการใช้งานที่แตกต่างกัน การออกมาตรฐานและการรับรองคุณภาพสำหรับอาคารที่สร้างด้วยเทคโนโลยีนี้ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง เชื่อว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติจะมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมการก่อสร้างในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการก่อสร้างอาคารสูง อาคารที่มีรูปทรงซับซ้อน หรือแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยีนี้ในไม่ช้า

การจัดแสดงอาคาร “Serendix 55” ในงาน Osaka Expo 2025 ซึ่งเป็นงานจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก จะเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้สัมผัสกับประสบการณ์จริงของที่อยู่อาศัยที่สร้างจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การปฏิวัติรูปแบบการก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านการใช้งานและความสวยงาม แต่ยังคำนึงถึงความรวดเร็ว การบริหารจัดการงบประมาณ แรงงาน ระยะเวลาการก่อสร้าง การตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน การลดการสูญเสียและสิ้นเปลืองวัสดุ และที่สำคัญคือการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ความสำเร็จของโครงการ “Serendix 55” จึงไม่ใช่เพียงความสำเร็จของ SCG 3DP และ Serendix เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงรุ่งอรุณใหม่ของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ที่เทคโนโลยี นวัตกรรม และความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม จะสามารถเดินควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

#SCG3DP #Serendix #เทคโนโลยีการพิมพ์3มิติ #3DPrinting #การก่อสร้าง #นวัตกรรม #OsakaExpo2025 #อาคาร3มิติ #Serendix55 #ก่อสร้างรวดเร็ว #ประหยัดพลังงาน #เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม #Yumeshima #SCG #เทคโนโลยีการก่อสร้าง #สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ #อนาคตการก่อสร้าง #ลดขยะ #ลดคาร์บอน #นวัตกรรมไทย

Related Posts