Shopee Affiliate Program เตรียมสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบนิเวศพาร์ทเนอร์ ด้วยการประกาศเริ่มเก็บ “ค่าบริการ” (Service Fee) ในอัตราร้อยละ 1 ของรายได้พาร์ทเนอร์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป การปรับโครงสร้างรายได้ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อครีเอเตอร์และผู้โปรโมทสินค้าในวงกว้าง ขณะที่เงื่อนไข “Golden Tick” กลายเป็นข้อยกเว้นที่น่าจับตามอง เปิดรายละเอียดการคำนวณที่ซับซ้อนแตกต่างกันตามประเภทผู้เสียภาษีและสถานะการจดทะเบียน VAT สร้างความจำเป็นให้พาร์ทเนอร์ต้องศึกษาและปรับตัวรับโครงสร้างใหม่
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – วงการ Affiliate Marketing ของไทยกำลังจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ Shopee หนึ่งในผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ได้ประกาศผ่านโครงการ Shopee Affiliate Program ถึงการเริ่มเก็บ “ค่าบริการ” หรือ “Service Fee” จากรายได้ของพาร์ทเนอร์ในเครือข่าย การประกาศนี้ถือเป็นหมุดหมายใหม่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างรายได้ของครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ที่สร้างรายได้ผ่านการโปรโมทสินค้าบนแพลตฟอร์ม Shopee โดยกำหนดอัตราค่าบริการไว้ที่ร้อยละ 1 และจะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568 หรือรอบบิลเดือนมิถุนายนรอบแรกของปีดังกล่าว
การตัดสินใจเก็บค่าบริการนี้นับเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Shopee ซึ่งอาจสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของโปรแกรม Affiliate ในระยะยาว รวมถึงการปรับโครงสร้างเพื่อให้สอดรับกับต้นทุนการดำเนินงานและพลวัตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันสูง แม้ว่าการเก็บค่าบริการเพียง 1% อาจดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก แต่สำหรับพาร์ทเนอร์ที่มีรายได้จำนวนมาก หรือผู้ที่พึ่งพารายได้จากช่องทางนี้เป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ย่อมส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนสุทธิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจาะลึกเงื่อนไข: ใครบ้างที่ต้องจ่าย และใครคือผู้ได้รับสิทธิ์ยกเว้น?
ประเด็นสำคัญที่พาร์ทเนอร์ทุกคนต้องให้ความสนใจคือรายละเอียดของอัตราค่าบริการและข้อยกเว้นที่ Shopee กำหนดไว้ จากประกาศที่เผยแพร่ออกมา สามารถแบ่งกลุ่มพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับค่าบริการนี้ได้ดังนี้:
- Creator ทั่วไป (General Creator): กลุ่มพาร์ทเนอร์ส่วนใหญ่จะถูกเรียกเก็บค่าบริการในอัตราร้อยละ 1 ของรายได้ที่เกิดขึ้นจากคอมมิชชั่น
- Original Creator: กลุ่มพาร์ทเนอร์ที่ได้รับการจัดประเภทเป็น Original Creator ก็จะถูกเรียกเก็บค่าบริการในอัตราร้อยละ 1 เช่นเดียวกัน ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจนว่าสิทธิประโยชน์อื่นใดที่ทำให้ Original Creator แตกต่างจาก Creator ทั่วไป นอกเหนือจากชื่อเรียกสถานะ
- Golden Tick: นี่คือสถานะพิเศษที่นับเป็น “บัตรทอง” สำหรับพาร์ทเนอร์อย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถรักษาหรือได้รับสถานะ Golden Tick จะได้รับการยกเว้นการเก็บค่าบริการทั้งหมด ซึ่งหมายความว่ารายได้จากคอมมิชชั่นของพวกเขาจะไม่ถูกหักค่าบริการ 1% นี้แต่อย่างใด เงื่อนไขการได้รับสถานะ Golden Tick จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่พาร์ทเนอร์จำนวนมากต้องพยายามไขว่คว้า เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของตนเอง
Shopee ยังได้ระบุหมายเหตุสำคัญว่า “การคำนวณค่าบริการจะพิจารณาจากระยะเวลาในการตรวจสอบคอมมิชชั่นในรอบเดือนนั้นๆ” ซึ่งหมายความว่าความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลการขายและการอนุมัติคอมมิชชั่นจะเป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณค่าบริการที่แม่นยำ
ตัวอย่างการหักค่าบริการ: กรณีศึกษา Golden Tick และการคำนวณเบื้องต้น
เพื่อให้พาร์ทเนอร์เข้าใจภาพรวมของการหักค่าบริการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Shopee ได้แสดงตัวอย่างการคำนวณไว้ดังนี้:
สมมติว่าพาร์ทเนอร์มีรายได้ทั้งหมด (Shopee Commission + Seller Commission + Bonus) จำนวน 1,000 บาท ในแต่ละช่วงเวลา
-
กรณีที่ 1: มิถุนายน 2568 (รอบแรก) – ยังไม่ได้รับ Golden Tick
- รายได้จากการสั่งซื้อสินค้าในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม
- รายได้ทั้งหมด: 1,000 บาท
- ค่าบริการ: 1% ของ 1,000 บาท = 10 บาท
- ยอดคอมมิชชั่นหลังหักค่าบริการ: 1,000 – 10 = 990 บาท
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) 3% (สมมติ): 3% ของ 990 บาท (ฐานหลังหักค่าบริการ) = 29.7 บาท
- ยอดสุทธิที่พาร์ทเนอร์ได้รับ: 990 – 29.7 = 960.3 บาท (ตัวเลขในภาพแสดง 970 ซึ่งอาจคำนวณ WHT จากฐาน 1000 หรือมีการปัดเศษที่แตกต่าง หรืออาจเป็นฐานคำนวณ WHT ที่ต่างกันระหว่างตัวอย่างภาพและรายละเอียดเชิงลึก)
- หมายเหตุสำคัญจากภาพตัวอย่าง: ภาพที่สองระบุยอดสุทธิ 970 บาท ซึ่งมาจากการคำนวณ คอมมิชชั่น 1000 – 3% WHT = 970 บาท โดยค่าบริการ 1% (10 บาท) ถูกระบุแยกต่างหาก นี่แสดงให้เห็นว่าการนำเสนอในแต่ละส่วนอาจมีจุดเน้นต่างกัน และพาร์ทเนอร์ควรดูรายละเอียดการคำนวณในใบแจ้งยอดเป็นหลัก
-
กรณีที่ 2: มิถุนายน 2568 (รอบหลัง) – ยังไม่ได้รับ Golden Tick
- รายได้จากการสั่งซื้อสินค้าในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
- รายได้ทั้งหมด: 1,000 บาท
- ค่าบริการ: 1% ของ 1,000 บาท = 10 บาท
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของค่าบริการ (หาก Shopee ต้องเรียกเก็บและพาร์ทเนอร์ต้องรับภาระ): ในตัวอย่างภาพที่สอง มีการคำนวณ “ค่าบริการ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1000 x 1% x 10.7% = 10.7 บาท” และยอดคอมมิชชั่นที่ได้รับคือ 959.3 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรวม VAT บนตัวค่าบริการ ซึ่งอาจเป็น VAT ที่ Shopee ในฐานะผู้ให้บริการต้องชำระและผลักภาระมายังพาร์ทเนอร์ หรือเป็นอัตราที่รวมปัจจัยอื่นแล้ว
- การตีความเพิ่มเติม: ตัวเลข 10.7% นี้อาจเป็นการรวม VAT 7% และค่าธรรมเนียมอื่นๆ หรือเป็นการคำนวณที่ซับซ้อนกว่านั้น พาร์ทเนอร์ควรตรวจสอบเอกสารทางการเงินจาก Shopee เพื่อความชัดเจน
-
กรณีที่ 3: กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป – ได้รับสถานะ Golden Tick
- รายได้จากการสั่งซื้อสินค้าในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
- รายได้ทั้งหมด: 1,000 บาท
- ค่าบริการ: ไม่เก็บค่าบริการ (เนื่องจากสถานะ Golden Tick)
- ยอดคอมมิชชั่น (ก่อน WHT): 1,000 บาท
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) 3% (สมมติ): 3% ของ 1,000 บาท = 30 บาท
- ยอดสุทธิที่พาร์ทเนอร์ได้รับ: 1,000 – 30 = 970 บาท
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าสถานะ Golden Tick มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาระดับรายได้ของพาร์ทเนอร์ และการคำนวณภาษี ทั้งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่อาจเกี่ยวข้องกับค่าบริการ จะเป็นอีกปัจจัยที่พาร์ทเนอร์ต้องทำความเข้าใจ
ถอดรหัสการคำนวณค่าบริการ: ความซับซ้อนตามประเภทพาร์ทเนอร์และภาระภาษี
ความท้าทายที่แท้จริงสำหรับพาร์ทเนอร์ไม่ได้อยู่แค่การรับรู้ถึงค่าบริการ 1% แต่คือการทำความเข้าใจวิธีการคำนวณรายได้สุทธิที่ซับซ้อน ซึ่ง Shopee ได้ให้รายละเอียดไว้สำหรับพาร์ทเนอร์แต่ละประเภท โดยจำแนกตามการเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา และสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registration)
1. สำหรับนิติบุคคล (Local Enterprise)
-
นิติบุคคลที่จดทะเบียน VAT (VAT Registration):
- องค์ประกอบรายได้: เริ่มจาก Shopee Commission (a), Seller Commission (b), Bonus (c), และ PPP (d) (ซึ่ง PPP อาจหมายถึงค่าคอมมิชชั่นพิเศษหรือโปรแกรมส่งเสริมการขายอื่นๆ)
- Eligible Commission (e): คือยอดคอมมิชชั่นรวมที่เข้าเกณฑ์ คำนวณจาก e = a + b + c + d
- Taxation Based (f): ฐานสำหรับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดย f = Eligible Commission / 1.07 (เป็นการถอด VAT 7% ออกจากยอดคอมมิชชั่นที่เข้าเกณฑ์)
- VAT (g): ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับคอมมิชชั่น คำนวณจาก f * 7%
- WHT (h): ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (โดยทั่วไปสำหรับนิติบุคคลคือ 3% จากฐาน Taxation Based) คำนวณจาก f * 3%
- Total Commission Amount (i): ยอดคอมมิชชั่นรวมที่นิติบุคคลจะพิจารณาเป็นรายได้เบื้องต้น คือ i = f + g – h (ฐานที่ถอด VAT + VAT – WHT) หรืออาจคำนวณจาก Eligible Commission – WHT (หากมองว่า VAT เป็นส่วนที่ต้องนำส่ง) ซึ่งในภาพเอกสารระบุเป็น i = Eligible Commission / 1.07 + WHT – WHT ซึ่งอาจมีความหมายเฉพาะ หรือต้องดูคำอธิบายประกอบจาก Shopee โดยตรง (ภาพที่ 3 ระบุสูตร Total Commission Amount (i) = Eligible Commission / 1.07 + VAT – WHT ซึ่งน่าจะเป็น Eligible Commission (ไม่รวม VAT) + VAT ที่เกี่ยวข้อง – WHT) แต่ในตัวอย่างภาพที่ 3 ระบุสูตรเป็น f + g – h (Taxation Based + VAT – WHT). หากยึดตามตัวอย่างคำนวณ (8,568.00 / 1.07) + 560.52 – 240.22 = 8,007.48 + 560.52 – 240.22 = 8,327.78.
- Service Fee before VAT (j): ค่าบริการก่อนรวม VAT คำนวณจาก Eligible Commission * 1%
- Service Fee VAT (k): ภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าบริการ คำนวณจาก j * 7% (เนื่องจาก Shopee เป็นผู้ให้บริการและต้องเก็บ VAT)
- Service Fee WHT (l): ภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับค่าบริการ (โดยทั่วไปนิติบุคคลจ่ายให้นิติบุคคล หัก 3%) คำนวณจาก j * 3%
- Total Service Fee Amount (m): ยอดค่าบริการรวมที่ต้องชำระ คำนวณจาก m = j + k – l (ค่าบริการก่อน VAT + VAT ของค่าบริการ – WHT ของค่าบริการ)
- Total Payable Amount (n): ยอดเงินสุทธิที่พาร์ทเนอร์ (นิติบุคคลจด VAT) จะได้รับ คำนวณจาก n = i – m
-
นิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT (non-VAT Registration):
- การคำนวณจะแตกต่างออกไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ VAT โดย Eligible Commission (e) จะถือเป็นฐานรายได้โดยตรง
- Total Commission Amount (h): คำนวณจาก Eligible Commission – WHT (WHT อาจเป็น 3% ของ Eligible Commission)
- Service Fee before VAT (j): คำนวณจาก Eligible Commission * 1%
- Service Fee VAT (k): แม้นิติบุคคลผู้รับเงินจะไม่ได้จด VAT แต่ Shopee (ผู้ให้บริการ) จด VAT ดังนั้น จึงยังคงมีการเรียกเก็บ VAT บนค่าบริการ คือ j * 7%
- Service Fee WHT (l): คำนวณจาก j * 3%
- Total Service Fee Amount (m): คำนวณจาก m = j + k – l
- Total Payable Amount (n): ยอดเงินสุทธิที่พาร์ทเนอร์ (นิติบุคคลไม่จด VAT) จะได้รับ คำนวณจาก n = h – m
2. สำหรับบุคคลธรรมดา (Local Individual)
การคำนวณสำหรับบุคคลธรรมดาจะคล้ายคลึงกับนิติบุคคลในหลักการ แต่รายละเอียดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) อาจแตกต่างกันไปตามกฎหมายภาษีอากรสำหรับบุคคลธรรมดา
-
บุคคลธรรมดาที่จดทะเบียน VAT (VAT Registration):
- โครงสร้างการคำนวณจะใกล้เคียงกับนิติบุคคลที่จด VAT โดยมีการพิจารณา Eligible Commission, การถอด VAT ออกเพื่อเป็นฐานภาษี, การคำนวณ VAT และ WHT บนคอมมิชชั่น
- การคำนวณค่าบริการ (Service Fee) และ VAT ของค่าบริการ รวมถึง WHT ของค่าบริการ จะเป็นไปในทำนองเดียวกัน โดยอัตรา WHT อาจปรับตามประเภทเงินได้ของบุคคลธรรมดา
- สูตรการคำนวณ Total Payable Amount จะเป็นผลลัพธ์สุดท้ายหลังหักลบกลบหนี้ทั้งหมด
-
บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT (non-VAT Registration):
- Eligible Commission จะเป็นฐานรายได้หลัก
- WHT จะถูกหักจาก Eligible Commission ตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
- ค่าบริการจะถูกคำนวณจาก Eligible Commission * 1% และจะมี VAT ของค่าบริการเช่นกัน (j * 7%) เนื่องจาก Shopee เป็นผู้ให้บริการที่จด VAT
- WHT ของค่าบริการก็อาจมีผลบังคับใช้
- Total Payable Amount จะเป็นยอดสุทธิสุดท้าย
ความละเอียดของตารางการคำนวณที่ Shopee ให้มานี้ (ตามภาพประกอบที่ 3 และ 4) ชี้ให้เห็นถึงความโปร่งใสในการแจกแจงรายรับรายจ่าย แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความซับซ้อนให้พาร์ทเนอร์ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นทางภาษี ทั้งฝั่งคอมมิชชั่นที่ได้รับ และฝั่งค่าบริการที่ต้องจ่ายออกไป
ผลกระทบและกลยุทธ์ที่พาร์ทเนอร์ต้องปรับตัว
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ Shopee Affiliate Program จะกระตุ้นให้พาร์ทเนอร์ต้องทบทวนกลยุทธ์การสร้างรายได้ของตนเองอย่างแน่นอน ประเด็นหลักที่ควรพิจารณาคือ:
- ทำความเข้าใจสถานะของตนเอง: พาร์ทเนอร์ต้องตรวจสอบว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มใด (Creator ทั่วไป, Original Creator, หรือมีโอกาสได้รับ Golden Tick) และสถานะทางภาษีของตนเอง (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล, จด/ไม่จด VAT) เพื่อประเมินผลกระทบได้อย่างถูกต้อง
- เป้าหมาย “Golden Tick”: สถานะ Golden Tick จะกลายเป็นสิ่งจูงใจสำคัญ พาร์ทเนอร์อาจต้องศึกษาเกณฑ์การได้รับและรักษาสถานะนี้อย่างจริงจัง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับยอดขาย คุณภาพของเนื้อหา หรือการปฏิบัติตามนโยบายของ Shopee
- การวางแผนทางการเงิน: การหักค่าบริการ 1% รวมถึงภาระภาษีที่เกี่ยวข้อง จะส่งผลต่อกระแสเงินสดและกำไรสุทธิ พาร์ทเนอร์จำเป็นต้องนำปัจจัยเหล่านี้ไปรวมอยู่ในการวางแผนทางการเงินและการตั้งเป้ารายได้
- การปรับปรุงประสิทธิภาพ: เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงจากค่าบริการ พาร์ทเนอร์อาจต้องมุ่งเน้นการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพสูงขึ้น สามารถกระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น หรือมองหาช่องทางการสร้างรายได้เสริมอื่นๆ
- ศึกษาข้อมูลจาก Shopee อย่างต่อเนื่อง: เนื่องจากเป็นนโยบายใหม่ อาจมีการปรับปรุงหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Shopee ในอนาคต พาร์ทเนอร์ควรติดตามประกาศและการสื่อสารจาก Shopee Affiliate Program อย่างใกล้ชิด
โดยสรุป การเริ่มเก็บค่าบริการของ Shopee Affiliate Program ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญในวงการ Affiliate Marketing ของไทย แม้จะสร้างผลกระทบต่อรายได้ของพาร์ทเนอร์ แต่ก็อาจเป็นก้าวหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพาร์ทเนอร์ในขณะนี้คือการทำความเข้าใจเงื่อนไขใหม่ที่ประกาศออกมาอย่างละเอียด และเตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในกลางปี 2568 นี้
#ShopeeAffiliate #ค่าบริการShopee #ServiceFee #ShopeePartner #AffiliateMarketing #อีคอมเมิร์ซ #GoldenTick #ช้อปปี้ #ครีเอเตอร์ #ข่าวเศรษฐกิจ