รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” นั่งหัวโต๊ะประชุม กทช. ครั้งสำคัญ ไฟเขียวชุดกฎหมายคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง กำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่ 2 แห่ง และมาตรการป้องกันการกัดเซาะ 27 ระบบหาดท่องเที่ยวสำคัญ พร้อมรับทราบสถานการณ์วิกฤตหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ปัญหาปลาหมอคางดำระบาด และผลกระทบจากมรสุม เร่งวางแนวทางแก้ไขและฟื้นฟูอย่างยั่งยืน หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานทรัพยากรทางทะเลของประเทศ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (กทช.) ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งถือเป็นการประชุมที่มีนัยสำคัญต่ออนาคตของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงและผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
อาทิ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟู “ขุมทรัพย์สีคราม” ของชาติ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง กล่าวภายหลังการประชุมว่า “ที่ประชุม กทช. ในวันนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันร่างกฎหมายและมาตรการต่างๆ ที่จะเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อระบบนิเวศ แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในภาคการท่องเที่ยว การประมง และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายฝั่ง รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ เพื่อให้ทรัพยากรอันมีค่าเหล่านี้ยังคงอยู่คู่ประเทศไทยสืบไป”
ไฟเขียวร่างกฎกระทรวงฯ กำหนดพื้นที่คุ้มครองใหม่-ป้องกันกัดเซาะชายฝั่ง
ประเด็นไฮไลท์ของการประชุมในครั้งนี้ คือการที่คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) กฎกระทรวงสำคัญหลายฉบับ ที่จะมีบทบาทโดยตรงในการปกป้องและบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประกอบด้วย:
-
(ร่าง) กฎกระทรวงตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เพื่อกำหนดให้มีพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพิ่มเติมจำนวน 2 พื้นที่สำคัญ ได้แก่
- พื้นที่บริเวณแนวปะทะกระแสน้ำไหล่ทวีปทะเลอันดามันของประเทศไทย: พื้นที่นี้มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาสูง เป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ เป็นเส้นทางผ่านและแหล่งหากินของสัตว์ทะเลหายากหลายชนิด รวมถึงเป็นบริเวณที่มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตในทะเล การกำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองจะช่วยป้องกันผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ที่อาจเกินขีดจำกัด และรักษาสมดุลของระบบนิเวศอันเปราะบางนี้ไว้
- พื้นที่อุทยานการเรียนรู้ใต้ทะเล เขาหลัก ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา: พื้นที่นี้ไม่เพียงแต่มีระบบนิเวศที่สวยงามและสมบูรณ์ แต่ยังมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การยกระดับเป็นพื้นที่คุ้มครองภายใต้กฎหมาย จะช่วยให้มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ สามารถควบคุมกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ป้องกันความเสื่อมโทรม และส่งเสริมให้เป็นต้นแบบของการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้และจิตสำนึกในการอนุรักษ์ให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
นายประเสริฐเน้นย้ำว่า “การประกาศพื้นที่คุ้มครองทั้งสองแห่งนี้ เป็นการดำเนินการเชิงรุกเพื่อสงวนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศที่มีคุณค่าเอาไว้ ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ที่ขาดการควบคุม ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการที่สมดุลและยั่งยืน สร้างประโยชน์ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว”
-
(ร่าง) กฎกระทรวงตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ใช้มาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ครอบคลุมพื้นที่ชายหาดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศ รวม 27 ระบบหาดทั่วประเทศ โดยพื้นที่เหล่านี้เป็นชายหาดที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติค่อนข้างดี และมีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว การออกมาตรการป้องกันการกัดเซาะล่วงหน้า จะช่วยรักษาทัศนียภาพที่สวยงาม ป้องกันความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงรักษาฐานทรัพยากรที่สำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ
รับทราบสถานการณ์วิกฤตทะเลไทย: หญ้าทะเลเสื่อมโทรม ปลาหมอคางดำระบาด
นอกเหนือจากการพิจารณาอนุมัติร่างกฎหมายต่างๆ ที่ประชุมยังได้รับทราบและหารือถึง (ร่าง) รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาท้าทายหลายประการที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่:
- ปัญหาแหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม: โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยและหากินสำคัญของพะยูนและสัตว์ทะเลอื่นๆ ความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและความหลากหลายทางชีวภาพ
- ปัญหาการตัดต้นไม้ในพื้นที่ป่าชายเลน: แม้บางพื้นที่จะเป็นพื้นที่เอกสารสิทธิ์ แต่การบุกรุกหรือเปลี่ยนแปลงสภาพป่าชายเลนยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล เนื่องจากป่าชายเลนมีบทบาทสำคัญในการเป็นปราการป้องกันชายฝั่ง แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และแหล่งดูดซับคาร์บอน
- ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลพื้นฐาน: โดยเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการรองรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง ซึ่งอาจรวมถึงโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor) การมีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในระยะยาว
- การติดตามการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน: พื้นที่อ่าวไทยตอนใน หรือ “อ่าว ก ไก่” เป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมบนบกและในทะเล จำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
- สถานการณ์การระบาดของปลาหมอคางดำ: ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Alien Invasive Species) สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่น
เจาะลึกสถานการณ์: หญ้าทะเล-พะยูน และการรุกรานของปลาหมอคางดำ
ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน 2567 – เมษายน 2568) โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้:
-
สถานการณ์หญ้าทะเลและพะยูน: ดร.ปิ่นสักก์ ชี้ว่าความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลส่วนหนึ่งเกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของตะกอน ซึ่งส่งผลให้พะยูนต้องมีการอพยพย้ายถิ่นไปยังแหล่งหญ้าทะเลอื่นเพื่อความอยู่รอด กรม ทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหานี้ และได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาพะยูนและหญ้าทะเลผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
- การสำรวจและประเมินสถานภาพ: ติดตามจำนวนประชากรพะยูน และประเมินความสมบูรณ์ของแหล่งหญ้าทะเลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันสำหรับการวางแผนบริหารจัดการ
- การประกาศพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้มาตรการ: เช่น ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้มีการประกาศพื้นที่คุ้มครองและออกมาตรการควบคุมกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อพะยูนและหญ้าทะเล
- การวางแผนช่วยเหลือพะยูน: เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือพะยูนที่ประสบภัยหรืออ่อนแอ โดยมีการทดลองให้อาหารเสริมทดแทนหญ้าทะเลในกรณีจำเป็น
- การฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล: ดำเนินโครงการปลูกและฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่เสื่อมโทรม เพื่อเพิ่มแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ทะเล
-
สถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ: ปัญหาปลาหมอคางดำยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของกรม ทช. พบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำแล้วใน 14 จังหวัดชายฝั่งอ่าวไทย โดยพบมากในระบบนิเวศปากแม่น้ำ แหล่งหญ้าทะเล และหาดทราย อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีอยู่บ้างคือยังไม่พบการแพร่ระบาดในระบบนิเวศปะการัง ทะเลสาบสงขลา และในทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งกรม ทช. จะต้องเฝ้าระวังและหามาตรการควบคุมการแพร่กระจายต่อไป เพื่อลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและสัตว์น้ำเศรษฐกิจพื้นถิ่น
ผลกระทบจากมรสุมและการเตรียมพร้อมรับมือ
นอกจากปัญหาข้างต้น ที่ประชุมยังได้รับทราบถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอิทธิพลของมรสุมที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งทะเล จากการติดตามตรวจสอบพบว่ามีพื้นที่ชายฝั่งได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 8 จังหวัด โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำท่วมในหลายพื้นที่
เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีแนวทางการดำเนินการระยะสั้น โดยการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ผ่านระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเลทั้งในรูปแบบของเว็บไซต์ (Website) และแอปพลิเคชันบนมือถือ (Mobile Application) เพื่อให้นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสามารถรับทราบข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการท่องเที่ยวทางทะเล
การประชุม กทช. ในครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานทางกฎหมายและนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทยให้กลับคืนมาดังเดิม
#กทช #ฟื้นฟูทะเล #กฎหมายทางทะเล #ทรัพยากรชายฝั่ง #เศรษฐกิจไทย #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ทะเลไทย #กัดเซาะชายฝั่ง #ปลาหมอคางดำ #หญ้าทะเล #พะยูน #ความยั่งยืนทางทะเล #BlueEconomy