ท่องเที่ยวไทยดิ่งเหว ยอดต่างชาติทรุดหนัก อดีตผู้ว่า ททท. ชี้ต้องปฏิรูปเร่งด่วน

ท่องเที่ยวไทยดิ่งเหว ยอดต่างชาติทรุดหนัก อดีตผู้ว่า ททท. ชี้ต้องปฏิรูปเร่งด่วน

ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะในไตรมาสปัจจุบัน ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนและกลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ชี้ตัวเลขทรุดหนักน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะตลาดจีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ จี้รัฐเร่งหยุดเลือดไหล ปฏิรูปภาคท่องเที่ยวทั้งระบบ ชูประเด็นความปลอดภัย สร้างจุดหมายปลายทางใหม่ และดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุด ณ วันที่ 11 พฤษภาคม ของปีนี้ (พ.ศ. 2568) หดตัวลงถึง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สัญญาณอันตรายนี้ได้รับการเปิดเผยจาก นายยุทธศักดิ์ สุภสร อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งได้ออกมาสะท้อนภาพรวมที่น่ากังวล โดยชี้ว่าการลดลงนี้เป็นผลกระทบหลักมาจากตลาดเอเชียตะวันออก ซึ่งโดยปกติคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของนักท่องเที่ยวขาเข้าทั้งหมด

นายยุทธศักดิ์ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ตลาดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ตลาดจีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราการลดลงอย่างชัดเจนถึง 31%, 20.8% และ 14.9% ตามลำดับ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาที่หยั่งรากลึกและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่านักท่องเที่ยวจากจีนเคยมีจำนวนเฉลี่ยสูงถึงเดือนละ 900,000 คน หรือประมาณ 30,000 คนต่อวัน ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ แต่ในช่วงสี่เดือนแรกของปีนี้ กลับมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเฉลี่ยเพียงวันละ 13,739 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างน่าตกใจ

ไม่เพียงแต่ตลาดเอเชียตะวันออกเท่านั้น แม้แต่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็หดตัวลง 2.2% โดยตลาดเวียดนามลดลงถึง 15% มีเพียงตลาดเมียนมาร์เท่านั้นที่ยังคงเติบโตได้ โดยเพิ่มขึ้น 13.5% ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายวันทั้งหมดได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ จากค่าเฉลี่ย 100,000 คนต่อวันในช่วงก่อนการระบาดใหญ่ เหลือไม่ถึง 60,000 คนต่อวันในปีนี้

สถานการณ์ยิ่งน่ากังวลมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงตลาดไมซ์ (MICE: Meetings, Incentives, Conferences, and Exhibitions) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นเลือดใหญ่ของรายได้ภาคการท่องเที่ยว โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ตลาดไมซ์จากต่างประเทศทรุดตัวลงถึง 15% และรายได้ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปยังกลุ่มนักเดินทางเชิงธุรกิจด้วย

“เราต้องหยุดยั้งการดิ่งเหวนี้ และยุติวิกฤตในภาคการท่องเที่ยวไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายยุทธศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราจำเป็นต้องดึงนักท่องเที่ยวกลับมา และที่สำคัญคือต้องใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงขึ้น”

ประเด็นเรื่องความปลอดภัยได้กลายเป็นข้อกังวลหลักของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นายยุทธศักดิ์ชี้ว่า การเพียงแค่สร้างภาพลักษณ์ของประเทศขึ้นมาใหม่นั้นไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูตลาดได้อีกต่อไป แต่ภาคบริการทั้งหมดจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับมา “การพัฒนาพื้นฐานในอุตสาหกรรมนี้ถูกละเลยมานานหลายปี” เขากล่าวเสริม “ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากดัชนีการพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel & Tourism Development Index) ที่จัดทำโดย World Economic Forum (WEF) ในปี 2567”

ตามรายงานของ WEF ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 47 ร่วงลงมาถึง 12 อันดับ ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยและความมั่นคง ประเทศไทยมีอันดับลดลงถึง 16 อันดับ ขณะที่ด้านความยั่งยืนของอุปสงค์การเดินทางและการท่องเที่ยวก็ลดลงอย่างมากถึง 59 อันดับ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

นายยุทธศักดิ์เน้นย้ำว่า ประเทศคู่แข่งมีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งปรับปรุงในด้านนี้สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง โดยการยกระดับทั้งสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว “ประเทศไทยควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูการรับรู้เกี่ยวกับประเทศ แทนที่จะพึ่งพาเพียงชายหาดและเกาะยอดนิยมไม่กี่แห่งที่แออัดอยู่แล้ว” เขากล่าว “ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาจากแบบจำลองที่ขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ (demand-driven) ไปสู่แบบจำลองที่ขับเคลื่อนด้วยอุปทาน (supply-driven) ผ่านสินค้าที่มีคุณภาพ”

ในด้านผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว นายยุทธศักดิ์เสนอว่า การส่งเสริมกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสุขภาวะ (health and wellness) รวมถึงกลุ่มนักเดินทางเชิงธุรกิจที่ต้องการผสมผสานการเดินทางเพื่อพักผ่อนเข้าด้วยกัน (bleisure)

“การพัฒนานี้เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างความพึงพอใจและความตื่นเต้น และเสริมสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะรับประกันการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นธรรมและเท่าเทียมไปยังพื้นที่และชุมชนท้องถิ่น” อดีตผู้ว่าการ ททท. กล่าวทิ้งท้าย เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

สถานการณ์ปัจจุบันเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อหาทางออกจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ การปฏิรูปที่ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่มีความหลากหลาย การยกระดับคุณภาพของสินค้าและบริการ และการมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ล้วนเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากประเทศไทยยังคงต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการท่องเที่ยวในระดับโลกไว้ให้ได้ การลงมือทำอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมตั้งแต่วันนี้ คือหนทางเดียวที่จะพลิกฟื้นอุตสาหกรรมมูลค่าหลายล้านล้านบาทนี้ให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง พร้อมทั้งสร้างการเติบโตที่กระจายตัวและเป็นธรรมสู่ชุมชนอย่างแท้จริง

#ท่องเที่ยวไทย #วิกฤตท่องเที่ยว #ปฏิรูปท่องเที่ยว #นักท่องเที่ยวต่างชาติ #เศรษฐกิจไทย #ยุทธศักดิ์สุภสร #ททท #MICE #เที่ยวเมืองรอง #ท่องเที่ยวคุณภาพ #ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว #WEF #ดัชนีท่องเที่ยว

Related Posts