ส.วิศวกรโครงสร้างฯ จี้รัฐยกเครื่องกฎหมายคุมอาคาร-รับมือแผ่นดินไหว

ส.วิศวกรโครงสร้างฯ จี้รัฐยกเครื่องกฎหมายคุมอาคาร-รับมือแผ่นดินไหว

สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) กระตุกรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกเครื่องกฎหมายควบคุมอาคารและมาตรฐานวิศวกรรมครั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 ในเมียนมา ส่งผลอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างพังถล่มราบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย ชี้ถึงเวลาทบทวนและปรับปรุงกฎหมายไทยอย่างน้อย 6 ฉบับ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนและป้องกันโศกนาฏกรรมซ้ำรอยในอนาคต พร้อมจี้สภาวิศวกรเร่งตรวจสอบจรรยาบรรณวิศวกรที่เกี่ยวข้องโดยไม่ต้องรอผู้ร้องเรียน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) ได้จัดแถลงข่าววิเคราะห์เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและกรณีอาคาร สตง. ถล่ม เพื่อเสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดย ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูด ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของเมียนมา ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้พังถล่มลงมาทั้งหลังอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ศพ

ศ.ดร.อมร ชี้ว่า แม้ปัจจุบันสาเหตุที่แน่ชัดของการพังถล่มยังอยู่ระหว่างการสืบสวนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย แต่จากการประเมินเบื้องต้น คาดการณ์ว่าจุดที่พังถล่มเป็นจุดแรกน่าจะเกิดขึ้นที่บริเวณผนังปล่องลิฟต์ ซึ่งอาจเป็นชั้นใดชั้นหนึ่งบริเวณส่วนล่างของอาคาร เมื่อปล่องลิฟต์ซึ่งเป็นแกนสำคัญของอาคารพังทลายลง จึงได้ฉุดรั้งให้เสาอาคารและส่วนอื่นๆ ของโครงสร้างพังถล่มตามมาทั้งหมด

4 ปัจจัยหลักและข้อสังเกตเชิงนิติวิศวกรรมศาสตร์

นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้ตั้งข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ของการพังถล่มไว้ 4 ปัจจัยหลัก ซึ่งแต่ละปัจจัยจำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์อย่างละเอียดด้วยหลักการทางนิติวิศวกรรมศาสตร์ (Forensic Engineering) ที่ทันสมัย ประกอบด้วย

  1. ความแรงของแผ่นดินไหว: ต้องอาศัยข้อมูลการตรวจวัดคลื่นแผ่นดินไหวจากสถานีตรวจวัดต่างๆ เพื่อประเมินแรงกระทำที่แท้จริงต่ออาคาร
  2. การคำนวณออกแบบอาคาร: การพิสูจน์การออกแบบต้องพิจารณามาตรฐานที่ใช้ในห้วงเวลาที่ทำการออกแบบ หากพบว่าการออกแบบผิดพลาด จะต้องสร้างแบบจำลองที่ละเอียดขึ้นเพื่อตรวจสอบว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการพังถล่มหรือไม่
  3. การก่อสร้างอาคาร: กระบวนการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบ หรือการใช้วิธีการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างอ่อนแอ
  4. คุณภาพวัสดุ: คุณภาพของวัสดุที่ใช้ เช่น คอนกรีต เหล็กเสริม และอุปกรณ์ต่อเหล็ก หากต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง

ศ.ดร.อมร ยังได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมในกระบวนการสืบสวนว่า การเก็บตัวอย่างคอนกรีตไปทดสอบจะต้องดำเนินการอย่างครอบคลุม ทั้งในส่วนที่เป็นเนื้อโครงสร้างที่ยังคงความแข็งแรง และบริเวณที่คาดว่าจะเป็นจุดอ่อน เช่น บริเวณรอยต่อการเทคอนกรีต (Cold joint) และควรนำเสนอผลการทดสอบให้สาธารณชนได้รับทราบโดยเร็ว นอกจากนี้ การเก็บรักษาวัตถุพยานต่างๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรอการพิสูจน์ด้วยวิทยาการที่ทันสมัย หรืออาจจำเป็นต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมพิสูจน์ในกรณีที่ซับซ้อน

ปัญหาจรรยาบรรณวิศวกรและข้อเรียกร้องถึงสภาวิศวกร

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังพบประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรผู้รับผิดชอบงานออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปลอมลายมือชื่อวิศวกร, การพบว่ามีวิศวกรอายุมากถึง 85 ปี ยังทำการรับรองการคำนวณออกแบบอาคารขนาดใหญ่, และประเด็นเกี่ยวกับวิศวกรต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ

ด้วยเหตุนี้ สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยจึงมีข้อเรียกร้องไปยังสภาวิศวกร ดังนี้:

  • สภาวิศวกรควรดำเนินการอย่างจริงจังกับวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับกรณีปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียน เนื่องจากข้อมูลหลายกรณีได้ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะแล้ว สภาวิศวกรสามารถใช้วิธี “กล่าวโทษ” เพื่อเริ่มกระบวนการสอบสวนด้านจรรยาบรรณต่อวิศวกรที่เกี่ยวข้องได้ทันที
  • ขอเรียกร้องให้สภาวิศวกรเปิดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อระดมความคิดเห็นและวางแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการวิชาชีพวิศวกรรมอย่างเร่งด่วน

ยกเครื่อง 6 กฎหมายสำคัญ ป้องกันเหตุซ้ำรอย

ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอาคาร การประกอบวิชาชีพวิศวกรรม และมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง เพื่อป้องกันเหตุการณ์อาคารถล่มจากภัยพิบัติ โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินในอนาคต โดยมีข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายที่สำคัญอย่างน้อย 6 ฉบับ ดังนี้:

  1. พระราชบัญญัติวิศวกร:

    • กำหนดสมรรถนะของวิศวกร (Engineer Competency) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ออกแบบอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่ต้องรับแรงแผ่นดินไหว เพื่อให้มั่นใจว่าวิศวกรผู้ออกแบบมีความรู้ความสามารถเพียงพอในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
    • เพิ่มโทษกรณีการปลอมแปลงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ให้หนักขึ้นเพื่อป้องปรามการกระทำผิด
    • เพิ่มอำนาจให้สภาวิศวกรสามารถสั่งระงับการใช้ใบอนุญาตชั่วคราวได้ ในกรณีที่ตรวจพบพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตหรือขาดความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร:

    • กำหนดให้อาคารราชการต้องยื่นขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอน เช่นเดียวกับอาคารของเอกชน เพื่อให้มีกระบวนการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคารภาครัฐอย่างเข้มงวดเช่นกัน
    • กำหนดให้มีการตรวจสอบการออกแบบอิสระ (Blind Independent Check หรือ Third Party Check) สำหรับอาคารที่มีความสำคัญหรือมีความเสี่ยงสูง เช่น อาคารสูง อาคารสาธารณะขนาดใหญ่ โดยผู้ตรวจสอบต้องเป็นอิสระจากผู้ออกแบบ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในความถูกต้องและความปลอดภัยของแบบก่อสร้าง
    • ออกกฎหมายให้มีการประเมินความมั่นคงแข็งแรงของอาคารที่มีความเสี่ยง เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน อาคารสูงเก่า และอาคารสาธารณะที่สำคัญอื่นๆ รวมถึงการเสริมกำลังอาคาร (Retrofitting) หากพบว่าไม่ปลอดภัย และกำหนดให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดพฤติกรรมอาคารจากแผ่นดินไหวในอาคารสำคัญเหล่านี้
  3. พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.):

    • เพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาคบังคับ (มอก.บังคับ) ให้ครอบคลุมวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างที่สำคัญ เช่น คอนกรีตผสมเสร็จ เหล็กเส้นก่อสร้าง อุปกรณ์ต่อเหล็กทางกล (Mechanical Couplers) เพื่อควบคุมคุณภาพวัสดุตั้งแต่ต้นทาง ลดความเสี่ยงจากวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน
  4. พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย:

    • เพิ่มกลไกการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์พังถล่มของอาคาร เพื่อให้การสอบสวนสาเหตุเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถสรุปบทเรียนเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ:

    • กำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้รับจ้างช่วง (Subcontractors) และหลักเกณฑ์การจ้างช่วงที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและผลงานของผู้รับจ้างช่วงได้ ป้องกันปัญหาการทิ้งงานหรือการทำงานที่ไม่ได้คุณภาพ
    • เพิ่มความโปร่งใสในขั้นตอนการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น การแก้ไขแบบก่อสร้าง ผลการทดสอบวัสดุต่างๆ จะต้องมีการอัปโหลดขึ้นระบบออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบได้โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดโอกาสการทุจริตคอร์รัปชัน
  6. พระราชบัญญัติการผังเมือง:

    • เพิ่มข้อกำหนดเรื่องผังสีแสดงระดับความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในแต่ละพื้นที่ (Seismic Risk Zoning Map) โดยอาศัยหลักการศึกษาการแบ่งพื้นที่ย่อยเพื่อการประเมินความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหว (Microzonation) เพื่อให้การออกแบบอาคารในแต่ละพื้นที่มีความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงจริง

การผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ ถือเป็นความท้าทายสำคัญที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารในประเทศไทย สร้างความเชื่อมั่น และเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต การลงทุนเพื่อความปลอดภัยในวันนี้ ย่อมคุ้มค่ากว่าความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่ประเมินค่าไม่ได้ในวันข้างหน้า

#ตึกถล่ม #แผ่นดินไหว #เมียนมา #สตง #สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย #TSEA #กฎหมายควบคุมอาคาร #มาตรฐานการก่อสร้าง #ความปลอดภัยอาคาร #วิศวกรรมโครงสร้าง #นิติวิศวกรรม #สภาวิศวกร #ยกเครื่องกฎหมาย #ผังเมือง #ภัยพิบัติ #AmornPimanmas

Related Posts