แอร์บัส (Airbus) เดินหน้าครั้งสำคัญในสมรภูมิอุตสาหกรรมอวกาศ ประกาศส่งดาวเทียมสำรวจโลกยุคใหม่ “CO3D” จำนวน 4 ดวง สู่ฐานปล่อยจรวดที่เฟรนช์เกียนา เตรียมทะยานขึ้นสู่วงโคจรในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ โครงการนี้ไม่เพียงเป็นการยกระดับศักยภาพทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ แต่ยังเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญเพื่อครองตลาดข้อมูลภูมิสารสนเทศและแผนที่ 3 มิติความละเอียดสูง ที่มีความต้องการมหาศาลทั้งในภาคการทหารและความมั่นคง รวมถึงภาคพลเรือนและพาณิชย์ทั่วโลก
ตูลูส, ฝรั่งเศส – ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมอวกาศยุโรปได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกเชิงแสง (Optical Satellites) รุ่นใหม่ล่าสุดในโครงการ CO3D (Constellation Optique 3D) จำนวน 4 ดวง ที่พัฒนาและสร้างโดย Airbus Defence and Space ยักษ์ใหญ่ด้านการบินและอวกาศ โดยความร่วมมือกับองค์การอวกาศฝรั่งเศส (CNES) ได้ออกเดินทางจากโรงงานประกอบในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส มุ่งหน้าสู่ฐานปล่อยจรวดของยุโรปในเมืองคูรู เฟรนช์เกียนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลุ่มดาวเทียมชุดนี้มีกำหนดการที่จะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรโดยจรวด Vega-C ของบริษัท Arianespace ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่จะถึงนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะปฏิวัติการสร้างแบบจำลองพื้นผิวโลกเชิงเลข (Digital Surface Model – DSM) และการให้บริการภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง
ภารกิจพลิกโฉมโลกภูมิสารสนเทศ
หัวใจหลักของโครงการ CO3D คือการสร้างกลุ่มดาวเทียมที่จะทำงานร่วมกันเพื่อจัดทำแผนที่ 3 มิติของพื้นผิวโลกทั้งหมดด้วยความแม่นยำที่ไม่เคยมีมาก่อน ดาวเทียมแต่ละดวงได้รับการออกแบบให้สามารถบันทึกภาพถ่ายแบบสเตอริโอ (Stereo Imagery) ที่ความละเอียดสูงถึง 50 เซนติเมตร ทำให้สามารถวัดค่าความสูงและสร้างแบบจำลองภูมิประเทศสามมิติได้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถให้บริการภาพถ่าย 2 มิติคุณภาพสูงสำหรับลูกค้าภาครัฐและภาคพาณิชย์ได้อีกด้วย
การมาถึงของ CO3D ไม่เพียงแต่จะตอบสนองความต้องการด้านการทำแผนที่ที่แม่นยำและทันสมัยสำหรับภารกิจทางทหารของฝรั่งเศส แต่ยังเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาวเทียมสำรวจโลกของแอร์บัส ซึ่งมีทั้งดาวเทียมเชิงแสงและดาวเทียมเรดาร์ ให้ครบวงจรและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอาลัน โฟเร (Alain Fauré), หัวหน้าฝ่ายระบบอวกาศของแอร์บัส กล่าวถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า “CO3D ไม่ใช่เป็นเพียงการยกระดับขีดความสามารถในการปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) ในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการพาณิชย์อีกด้วย ด้วยความร่วมมืออันชาญฉลาดของฝรั่งเศสและการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจาก CNES โครงการนี้จะช่วยยกระดับดาวเทียมรุ่น S250 ของเรา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดาวเทียมเชิงแสงแบบใช้งานสองทาง (Dual-use) รุ่นต่อไปที่กำลังได้รับความสนใจเป็นพิเศษในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์โลกปัจจุบัน”
คำกล่าวของนายโฟเรสะท้อนให้เห็นว่า CO3D ไม่ได้เป็นเพียงโครงการทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ทั้งในมิติของความมั่นคงและโอกาสทางเศรษฐกิจในตลาดข้อมูลอวกาศที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
เจาะลึกนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เหนือชั้น
กลุ่มดาวเทียม CO3D ทั้ง 4 ดวง อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติภารกิจระยะยาว
- คุณสมบัติทางกายภาพ: ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 285 กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Full Electric Propulsion) ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานในวงโคจรได้นานถึง 8 ปี
- รูปแบบการโคจร: ดาวเทียมทั้ง 4 ดวงจะปฏิบัติการเป็นคู่ โดยโคจรในระนาบเดียวกันแต่อยู่คนละฝั่งของโลก ในวงโคจรสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (Heliosynchronous Orbit) ที่ระดับความสูง 502 กิโลเมตร ดาวเทียมในแต่ละคู่จะรักษาระยะห่างกัน 100 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถจับภาพสเตอริโอได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ระบบประมวลผลภาคพื้นดิน: ข้อมูลมหาศาลที่ถูกส่งลงมาจากดาวเทียมจะถูกจัดการและประมวลผลบนระบบคลาวด์ที่ควบคุมโดยแอร์บัส ซึ่งรวมถึงสายการประมวลผลภาพ (Image Processing Chain) ที่พัฒนาโดย CNES เพื่อสร้างแผนที่ 3 มิติที่ทันสมัยที่สุดของพื้นผิวโลก
ตามแผนการที่วางไว้ หลังจากเข้าสู่วงโคจรและผ่านการทดสอบระบบเป็นเวลา 6 เดือน กลุ่มดาวเทียมจะใช้เวลาอีก 18 เดือนในการทำภารกิจแรก คือการสร้างแผนที่ 3 มิติของประเทศฝรั่งเศสและพื้นที่ “แนวโค้งแห่งวิกฤต (Crisis Arc)” ให้กับ CNES ก่อนที่จะเปิดให้บริการสำหรับภารกิจและลูกค้ารายอื่นๆ ต่อไป
นวัตกรรมเปลี่ยนโลกบนดาวเทียม CO3D
ความพิเศษของ CO3D ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความละเอียดของภาพ แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ติดตั้งไปกับดาวเทียมด้วย
- LASIN – การสื่อสารด้วยเลเซอร์: ดาวเทียม 1 ใน 4 ดวงจะติดตั้งอุปกรณ์สาธิตเทคโนโลยีการสื่อสารด้วยเลเซอร์ (Optical Laser Communication) ที่เรียกว่า LASIN ซึ่งทำงานร่วมกับสถานีภาคพื้นดินของ CNES เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้สามารถดาวน์โหลดข้อมูลได้เร็วกว่าการใช้เครื่องส่งสัญญาณ X-band แบบเดิมถึง 10 เท่า โดยมีความเร็วสูงสุดถึง 10 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ซึ่งเป็นการปฏิวัติการส่งข้อมูลปริมาณมหาศาลจากอวกาศ
- Onboard AI – ปัญญาประดิษฐ์บนดาวเทียม: ดาวเทียมถูกออกแบบให้ลูกค้าสามารถอัปโหลดและรันแอปพลิเคชันบนตัวดาวเทียมได้โดยตรง ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เพื่อตรวจจับและจำแนกวัตถุที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ เช่น การตรวจจับเรือหรือเครื่องบิน ก่อนที่จะส่งข้อมูลลงมายังภาคพื้นดิน ช่วยลดภาระการส่งข้อมูลและให้ข้อมูลเชิงลึกที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
- “มองเห็นในความมืด” (See in the Dark): ด้วยเซ็นเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่มาพร้อมโหมดลดสัญญาณรบกวน (Noise Reduction Mode) ทำให้ดาวเทียม CO3D สามารถขยายเวลาการรับแสงเหนือเป้าหมายได้นานขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับโหมดการควบคุมดาวเทียมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จะช่วยปลดล็อกความสามารถในการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย เช่น การสังเกตการณ์พื้นที่เขตเมืองในเวลากลางคืน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการประยุกต์ใช้ในวงกว้าง
ข้อมูลจาก CO3D จะกลายเป็นทรัพยากรล้ำค่าสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ:
- ความมั่นคงและการทหาร: การจัดทำแผนที่ทางทหารที่แม่นยำ การประเมินพื้นที่ยุทธศาสตร์ และการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อ่อนไหว
- การวางผังเมืองและการจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart City): การวิเคราะห์การขยายตัวของเมือง การวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดการสาธารณูปโภค
- อุทกวิทยาและการจัดการน้ำ: การสร้างแบบจำลองลุ่มน้ำ การคาดการณ์อุทกภัย และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
- ธรณีวิทยาและการสำรวจทรัพยากร: การสำรวจแหล่งแร่ การประเมินความเสี่ยงดินถล่ม
- ความมั่นคงทางพลเรือนและการจัดการภัยพิบัติ: การประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ และการวางแผนรับมือ
- การเกษตรและสิ่งแวดล้อม: การติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ การประเมินสุขภาพพืช และการจัดการทรัพยากรที่ดิน
เบื้องหลังความสำเร็จและภารกิจร่วม
ความสำเร็จของโครงการ CO3D ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากประสบการณ์ที่แอร์บัสสั่งสมมาจากการพัฒนากลุ่มดาวเทียม OneWeb ซึ่งเป็นโครงการผลิตดาวเทียมจำนวนมาก ทำให้แอร์บัสสามารถนำกระบวนการผลิตแบบอนุกรม (Series Production) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการบินมาปรับใช้ มีการใช้อุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐาน การสร้างเศรษฐศาสตร์จากขนาด (Scale Effects) และการปรับปรุงซัพพลายเชนและระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ ในการปล่อยจรวดครั้งเดียวกันนี้ จะมีดาวเทียม Microcarb ซึ่งเป็นภารกิจร่วมระหว่าง CNES และองค์การอวกาศแห่งสหราชอาณาจักร (UK Space Agency) เดินทางไปด้วย ดาวเทียม Microcarb ติดตั้งสเปกโตรมิเตอร์ที่สร้างโดยแอร์บัส มีภารกิจในการตรวจวัดและทำแผนที่ปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศโลก เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศสามารถระบุแหล่งกำเนิดและแหล่งกักเก็บคาร์บอนได้ดียิ่งขึ้น
การเดินทางของกลุ่มดาวเทียม CO3D สู่ฐานปล่อยในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การส่งฮาร์ดแวร์ขึ้นสู่อวกาศ แต่เป็นการส่งมอบอนาคตของข้อมูลภูมิสารสนเทศ ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมไปทั่วโลก พร้อมทั้งตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำของ แอร์บัส และยุโรปในเวทีอุตสาหกรรมอวกาศระดับโลก
#CO3D #Airbus #แอร์บัส #ดาวเทียม #อุตสาหกรรมอวกาศ #ภาพถ่ายดาวเทียม #แผนที่3มิติ #CNES #เทคโนโลยีอวกาศ #เศรษฐกิจอวกาศ #ภูมิสารสนเทศ #Arianespace #VegaC