อายิโนะโมะโต๊ะ จับมือ KX ม.พระจอมเกล้าธนบุรี จัดโปรแกรม “TECHBITE” หนุน 10 สตาร์ทอัพด้านอาหารและไบโอเทคจาก 6 ประเทศ ชู “AminoScience” สร้างโซลูชั่นเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน ด้านบีโอไอ-สวทช. ขานรับร่วมสร้าง Ecosystem ผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ Value-Based Economy เต็มรูปแบบ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางสมรภูมิเศรษฐกิจโลกที่ทวีความรุนแรง ประเทศไทยในฐานะ “ครัวของโลก” (Kitchen of the World) กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ต้องเร่งยกระดับอุตสาหกรรมอาหารจากการเป็นเพียง “ผู้ผลิต” สู่การเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารเชิงลึก” (Deep Food Innovation) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนในอนาคต ด้วยความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนดังกล่าว บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีกรดอะมิโน ได้ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับ KX – Knowledge Xchange ศูนย์กลางแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) เปิดตัวโครงการ “TECHBITE Food & Biotech Accelerator Program” เพื่อเป็นแพลตฟอร์มบ่มเพาะและติดปีกให้กับเหล่าสตาร์ทอัพด้านอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ (Food & Biotech) ขับเคลื่อนสู่การสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตอบโจทย์สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนอย่างยั่งยืน
โครงการดังกล่าวได้เดินทางมาถึงจุดสำคัญกับการจัดงาน TECHBITE Food & Biotech Demo Day ณ อาคาร KX – Knowledge Xchange เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเป็นเวทีให้ 10 สตาร์ทอัพดาวเด่นจาก 6 ประเทศทั่วโลก ได้นำเสนอสุดยอดนวัตกรรมต่อหน้านักลงทุนและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ทะยานสู่การเป็นเศรษฐกิจฐานมูลค่า (Value-Based Economy)
“AminoScience” หัวใจแห่งนวัตกรรม สู่ความร่วมมือแบบเปิด (Open Innovation)
นายดะอิซะบุโระ โคะงะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงวิสัยทัศน์และความสำคัญของโครงการนี้ว่า หัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของอายิโนะโมะโต๊ะคือพันธกิจในการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้คน สังคม และโลก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่เกิดจากองค์ความรู้ด้านกรดอะมิโน หรือ “AminoScience” อันเป็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัทมากว่าศตวรรษ
“สำหรับโครงการ TECHBITE นี้ เรามุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมใน 3 แนวทางหลักซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ได้แก่ 1. โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) การนำเสนอสารอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในเวลาที่ใช่ 2. โปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) การเสาะหาและพัฒนาแหล่งโปรตีนใหม่ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและยั่งยืน และ 3. เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology) การใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเพื่อสร้างสรรค์ส่วนผสมอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มร.โคะงะ กล่าว
พร้อมกันนี้ นายโคะงะ ได้เน้นย้ำถึงกลยุทธ์ “Open Innovation” หรือนวัตกรรมแบบเปิด ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทฯ ยึดมั่น “เราเชื่อมั่นว่านวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วและตอบโจทย์โลกแห่งความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้นผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตร ความร่วมมือกับสตาร์ทอัพ นักวิจัย และหน่วยงานต่างๆ ในโครงการนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการร่วมกันแก้ไขปัญหาท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงทางอาหาร การดูแลสังคมผู้สูงวัย หรือความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม งาน Demo Day ในวันนี้จึงไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ที่เราจะร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลง และอายิโนะโมะโต๊ะพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารและสุขภาพให้เติบโตในระดับภูมิภาคต่อไป”
KX-KMUTT เชื่อมโยงภาครัฐ-เอกชน-สตาร์ทอัพ สร้าง Ecosystem หนุน New S-Curve
ในฐานะเจ้าบ้านและพันธมิตรหลัก ดร.ภัทรชาติ โกมลกิติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KX – Knowledge Xchange ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของโครงการ โดยระบุว่า KX รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลกอย่างอายิโนะโมะโต๊ะ ในการเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรอุตสาหกรรมหลักรายแรกของโปรแกรม TECHBITE
“การผนึกกำลังกันครั้งนี้ คือการสร้างสะพานเชื่อมที่แข็งแกร่งระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และสตาร์ทอัพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหารและไบโอเทคแห่งอนาคต เรามุ่งหวังที่จะวางรากฐานการเติบโตและสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยหนุนเสริมให้เศรษฐกิจไทยสามารถติดสปีดสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรือ New S-Curve ได้อย่างยั่งยืน” ดร.ภัทรชาติกล่าว
ภาครัฐขานรับเต็มสูบ “บีโอไอ” อัดมาตรการดันสตาร์ทอัพสู่ “ยูนิคอร์น”
ความร่วมมือครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ โดย นายสุทธิเกตติ์ ทัดพิทักษ์กุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า บีโอไอมีพันธกิจที่ชัดเจนในการผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตไปถึงระดับ “ยูนิคอร์น” ได้ โดยมองว่าสตาร์ทอัพคือ “Game Changer” คนสำคัญที่จะพลิกโฉมและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ
“บีโอไอได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่ม Deep Tech และ Biotech ด้วยมาตรการร่วมลงทุน (Co-investment) ในวงเงิน 20–50 ล้านบาท ควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี เช่น บริการ Smart Visa สำหรับผู้เชี่ยวชาญ และ LTR Visa สำหรับนักลงทุน เพื่อดึงดูดบุคลากรและเงินทุนจากทั่วโลก ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโต และผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาคภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และนโยบาย Digital Transformation” นายสุทธิเกตติ์กล่าวเสริม
เปิดโฉม 10 สตาร์ทอัพดาวเด่นและเส้นทางสู่ Demo Day
สำหรับโปรแกรม TECHBITE Food & Biotech Accelerator Program ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 โดยสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 10 ทีม ได้แก่ Aleph Farms, Prefer, Algal Bio, BiomeMega, Advanced GreenFarm, Aquivio, Another Food, Fattastic, Modgut และ Allium Bio ซึ่งมาจาก 6 ประเทศ ได้เข้าร่วมกิจกรรมหลากหลาย ทั้งเวิร์กช็อปเพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจ, การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญ, และการเยี่ยมชมโรงงานและห้องปฏิบัติการของอายิโนะโมะโต๊ะ เพื่อเรียนรู้กระบวนการผลิตระดับโลกและทำความเข้าใจโจทย์ของอุตสาหกรรมจริง
ความร่วมมือในโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง อายิโนะโมะโต๊ะ และ KX เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรชั้นนำอีกมากมาย อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย, องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO), และกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเช่นนี้ถือเป็นสัญญาณบวกและเป็นต้นแบบของการสร้าง Ecosystem ที่จะนำพานวัตกรรมอาหารที่ผลิตในประเทศไทยไปสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง
#อายิโนะโมะโต๊ะ #KX #TECHBITE #นวัตกรรมอาหาร #FoodTech #Biotech #สตาร์ทอัพ #StartupEcosystem #NewSCurve #BCGModel #เศรษฐกิจไทย #บีโอไอ #สวทช #AminoScience #กินดีมีสุข