AOC 1441 เตือนภัย! มิจฉาชีพสหกรณ์ครู-ลงทุนปลอม สูบเงิน 9 ล้านบาท

AOC 1441 เตือนภัย! มิจฉาชีพสหกรณ์ครู-ลงทุนปลอม สูบเงิน 9 ล้านบาท

กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเคสสัปดาห์เดียวเสียหายกว่า 9 ล้านบาท เผยกลโกงใหม่ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู หลอกติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงินเกลี้ยงบัญชี ขณะที่แก๊งหลอกลงทุนเทรดหุ้นยังระบาดหนัก สร้างความเสียหายเกือบ 5 ล้านบาท ด้านศูนย์ AOC 1441 โชว์ผลงานระงับบัญชีกว่า 7 แสนบัญชี แนะประชาชนยึดหลัก “4 ไม่” ป้องกันตนเอง

กรุงเทพฯ – ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center) หรือ AOC 1441 ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน่าตกใจล่าสุด โดยเตือนภัยประชาชนถึงกลโกงของมิจฉาชีพออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประชาชนในช่วงสัปดาห์เดียว โดยชูประเด็นสำคัญคือการแอบอ้างเป็น “เจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู” เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 คดีตัวอย่างที่ศูนย์ฯ หยิบยกขึ้นมา โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมกันสูงถึง 9,034,849 บาท ในช่วงวันที่ 16 – 22 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงภัยคุกคามทางเศรษฐกิจดิจิทัลที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน

นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของคดีตัวอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบกลโกงที่หลากหลายและมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป แต่ล้วนสร้างความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้

เจาะลึก 5 กลโกงสุดแสบ สูญเงิน 9 ล้านใน 7 วัน

สถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนภาพความเสียหายที่น่ากังวล โดยศูนย์ AOC 1441 ได้สรุป 5 คดีตัวอย่างที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อและสูญเสียเงินจำนวนมาก ดังนี้

1. กลโกงอ้างเป็น “เจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู” ติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน (เสียหาย 1,003,395 บาท) นับเป็นกลโกงรูปแบบใหม่ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยมิจฉาชีพจะติดต่อผู้เสียหายทางโทรศัพท์ แอบอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู จากนั้นจะทำการแนะนำให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันที่อ้างว่าจะช่วยให้สมาชิกสหกรณ์สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยความเชื่อใจและคิดว่าเป็นบริการจากสหกรณ์ฯ จริง ผู้เสียหายจึงหลงกลและทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากธนาคารว่าเงินในบัญชีถูกโอนออกไปทั้งหมด ทำให้รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงการที่มิจฉาชีพมุ่งเป้าไปยังกลุ่มวิชาชีพที่มีสถาบันการเงินเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอาจทำให้เหยื่อตายใจได้ง่าย

2. แก๊งหลอกลงทุนเทรดหุ้น-น้ำมันดิบ (เสียหายรวม 4,790,831 บาท) การหลอกลงทุนยังคงเป็นรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดในรอบสัปดาห์นี้ โดยมี 2 คดีใหญ่ที่สร้างความเสียหายเกือบ 5 ล้านบาท

  • คดีแรก (เสียหาย 2,540,816 บาท): ผู้เสียหายพบโฆษณาสอนเทรดหุ้นผ่าน Facebook จึงเกิดความสนใจและแอด Line เพื่อสอบถามรายละเอียด จากนั้นถูกดึงเข้ากลุ่ม Line ที่มีการสอนเทรดหุ้นและแนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับการลงทุน ในช่วงแรกมิจฉาชีพจะสร้างความเชื่อใจโดยให้ผู้เสียหายสามารถถอนเงินจากการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ได้จริง เมื่อเหยื่อตายใจและโอนเงินลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนมาก ก็ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้อีกเลย ภายหลังผู้เสียหายได้กลับไปตรวจสอบที่หน้าเพจ Facebook ดังกล่าวและพบว่ามีผู้ใช้รายอื่นเข้ามาแสดงความโกรธเป็นจำนวนมาก จึงทราบว่าเป็นเพจปลอมที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวง
  • คดีที่สอง (เสียหาย 2,250,015 บาท): มีลักษณะคล้ายกัน โดยมิจฉาชีพติดต่อผ่าน Facebook ชักชวนให้เทรดหุ้นน้ำมันดิบโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง เมื่อผู้เสียหายสนใจและแอด Line ไปพูดคุย ก็ถูกโน้มน้าวให้โอนเงินเพื่อลงทุน ช่วงแรกได้รับผลตอบแทนจริงเช่นกัน ทำให้ผู้เสียหายโอนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อต้องการถอนเงินกลับถูกบ่ายเบี่ยง โดยอ้างว่าต้องจ่ายค่าสอนเทรดและค่าภาษีก่อน ซึ่งแม้จะโอนเงินส่วนนี้ไปแล้วก็ยังไม่สามารถถอนเงินลงทุนคืนได้

3. แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร (เสียหาย 1,786,000 บาท) เป็นกลโกงคลาสสิกที่ยังคงใช้ได้ผล โดยมิจฉาชีพโทรศัพท์หาผู้เสียหาย อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารกรุงไทย พร้อมกับสร้างเรื่องราวที่น่าตกใจว่ามีบุคคลอื่นนำใบมอบอำนาจปลอมมาถอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหาย จากนั้นได้แนะนำให้ผู้เสียหายรีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำการโอนสายไปยังมิจฉาชีพอีกคนที่ปลอมเป็นตำรวจ ซึ่งได้แจ้งกลับมาว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายบัญชีม้าและคดีฟอกเงินครั้งใหญ่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ จะต้องโอนเงินทั้งหมดในบัญชีมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และจะคืนให้ในภายหลัง ด้วยความตื่นตระหนกและกลัวความผิด ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อและโอนเงินทั้งหมดไปให้ ก่อนจะพบว่าไม่สามารถติดต่อใครได้อีก

4. หลอกทำงานเสริมออนไลน์ (เสียหาย 1,454,623 บาท) มิจฉาชีพใช้แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok ในการติดต่อเหยื่อ โดยชักชวนให้ทำงานเสริมเพื่อหารายได้พิเศษ เป็นลักษณะการร่วมลงทุนเพื่อรับเงินปันผลจากการขายสินค้าออนไลน์ เมื่อผู้เสียหายสนใจและแอด Line ไป ก็จะเข้าสู่กระบวนการหลอกลวงที่คล้ายกับการลงทุน คือให้โอนเงินลงทุนน้อยๆ ในช่วงแรกและได้รับผลตอบแทนกลับมาจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น จากนั้นเมื่อผู้เสียหายโอนเงินลงทุนก้อนใหญ่เข้าไป ก็จะไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ และยังถูกหลอกให้โอนเงินเพิ่มเข้าไปอีกเรื่อยๆ

สถิติ AOC 1441 ชี้ “หลอกซื้อขายของ” ครองแชมป์จำนวนบัญชีม้า

นอกเหนือจากเคสตัวอย่างรายสัปดาห์แล้ว กระทรวงดีอียังได้เปิดเผยผลการดำเนินงานของศูนย์ AOC 1441 นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ในภาพรวม

  • สายด่วน 1441: มีการโทรเข้ามาทั้งสิ้น 1,833,952 สาย เฉลี่ยวันละ 3,067 สาย
  • การระงับบัญชีธนาคาร: สามารถระงับบัญชีของมิจฉาชีพได้ถึง 725,396 บัญชี เฉลี่ยวันละ 1,305 บัญชี

เมื่อจำแนกประเภทคดีที่มีการระงับบัญชีสูงสุด 5 อันดับแรก พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:

  1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ: 229,664 บัญชี (31.66%)
  2. หลอกลวงหารายได้พิเศษ: 167,560 บัญชี (23.11%)
  3. หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล: 101,141 บัญชี (13.94%)
  4. หลอกลวงลงทุน: 101,139 บัญชี (13.94%)
  5. หลอกลวงให้กู้เงิน: 51,732 บัญชี (7.13%)

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้คดีหลอกลงทุนจะสร้างมูลค่าความเสียหายต่อรายสูง แต่คดีที่เกี่ยวกับการหลอกซื้อขายสินค้าและบริการกลับเป็นคดีที่มีจำนวนบัญชีม้าถูกใช้มากที่สุด ซึ่งหมายถึงเป็นภัยที่แพร่กระจายในวงกว้างและกระทบกับประชาชนจำนวนมากที่สุด

“วงศ์อะเคื้อ” ย้ำรัฐไม่มีนโยบายโทรหา-ให้โอนเงินตรวจสอบ

นางสาววงศ์อะเคื้อ ได้กล่าวสรุปและฝากคำเตือนไปยังประชาชนจากกรณีที่เกิดขึ้นว่า “จากเคสตัวอย่างจะเห็นได้ว่า มิจฉาชีพใช้กลอุบายหลอกลวงผู้เสียหาย โดยอ้างเป็น เจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู หลอกให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน รวมทั้งยังพบเคสการหลอกลงทุนเทรดหุ้น และเคสข่มขู่เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร อ้างว่าผู้เสียหายพัวพันกับการฟอกเงิน ซึ่งพบว่ามีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 9 ล้านบาท”

โฆษกกระทรวงดีอีได้ย้ำเตือนหลักการสำคัญในการป้องกันตนเองว่า “หากมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรต่างๆให้ติดตั้งแอปฯ ควรตรวจสอบให้แน่ชัด และห้ามดาวน์โหลดแอปฯ หรือกดลิงก์ที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดอย่างเด็ดขาด ด้านการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ด้านหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ จะไม่มีการโทรติดต่อโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และจะไม่มีการให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบบัญชีแต่อย่างใด”

เพื่อเป็นเกราะป้องกันตนเอง ขอให้ประชาชนยึดหลัก “4 ไม่” คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2. ไม่เชื่อ 3. ไม่รีบ และ 4. ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ ควรตั้งสติและตรวจสอบให้รอบคอบ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดแพลตฟอร์มใดๆ ที่ส่งต่อมาจากช่องทางที่ไม่น่าเชื่อถือโดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนผ่านศูนย์ AOC 1441 อย่างสม่ำเสมอ

หากประชาชนท่านใดตกเป็นเหยื่อหรือสงสัยว่าอาจกำลังถูกหลอกลวงทางออนไลน์ สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันทีที่

  • โทรแจ้งระงับ/อายัดบัญชีทันที: สายด่วน AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • แจ้งเบาะแสข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์: สายด่วน 1111 ต่อ 87
  • ช่องทางอื่นๆ: Line ID: @antifakenewscenter และเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

#เตือนภัยมิจฉาชีพ #AOC1441 #หลอกลงทุนออนไลน์ #แอปดูดเงิน #สหกรณ์ออมทรัพย์ครู #กระทรวงดีอี #ข่าวเศรษฐกิจ #ภัยไซเบอร์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์

Related Posts