รองนายกฯ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ในฐานะประธาน กนช. มอบ 5 นโยบายสำคัญแก่คณะกรรมการลุ่มน้ำชุดใหม่ทั่วประเทศ เน้นการทำงานเชิงรุกด้วยข้อมูลจริง การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน และยกระดับข้อเสนอสู่แผนระดับชาติ เพื่อสร้างเกราะป้องกันภัยพิบัติด้านน้ำและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยกำลังก้าวสู่มิติใหม่ที่สำคัญ เมื่อ นาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำทั่วประเทศ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำโดย นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง, นางพัชรวีร์ สุวรรณิก และนายไวฑิต โอชวิช พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการลุ่มน้ำ (กกล.) จากทั้ง 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ทั้งในห้องประชุมและผ่านระบบถ่ายทอดสดไปยัง 3 ภูมิภาคหลักของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงหลังจากการคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่หมดวาระลง นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนกลไกการจัดการน้ำในระดับพื้นที่ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
ตอกย้ำบทบาท กกล. กลไกเชื่อมโยงท้องถิ่นสู่ระดับชาติ
นาย ประเสริฐ ได้กล่าวเปิดงานพร้อมย้ำถึงความสำคัญของคณะกรรมการลุ่มน้ำว่า “คณะกรรมการลุ่มน้ำถือเป็นกลไกหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดแต่ใกล้ชิดกับปัญหาและประชาชนมากที่สุด โดยมีภารกิจในการเชื่อมโยงการดำเนินงานกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาพรวมของประเทศให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 นโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ”
“การจัดสัมมนาในวันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่กรรมการลุ่มน้ำจะได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สะท้อนปัญหาในเชิงพื้นที่สู่การกำหนดทิศทางการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความยั่งยืนและสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างเป็นรูปธรรม จากระดับพื้นที่ ระดับลุ่มน้ำ สู่นโยบายระดับประเทศ” ประธาน กนช. กล่าว
เปิด 5 นโยบายขับเคลื่อนเครือข่ายลุ่มน้ำ มุ่งผลสัมฤทธิ์เชิงเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อให้การทำงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำชุดใหม่มีทิศทางที่ชัดเจนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นายประเสริฐได้มอบนโยบายสำคัญ 5 ประการ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานดังนี้
1. ขับเคลื่อนภารกิจด้วยข้อมูลและบริบทจริงของพื้นที่ (Data-Driven Policy): นโยบายนี้มุ่งเน้นการปฏิรูปกระบวนการตัดสินใจ จากเดิมที่อาจอิงตามความรู้สึกหรือข้อมูลภาพรวม มาสู่การใช้ “ข้อมูลจริง” จากพื้นที่เป็นฐานในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ ซึ่งหมายรวมถึงข้อมูลปริมาณน้ำฝน น้ำท่า ความต้องการใช้น้ำของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละฤดูกาลและแต่ละพื้นที่ย่อย การทำเช่นนี้จะทำให้การกำหนดข้อเสนอเชิงนโยบาย ทั้งในด้านการสร้างแหล่งน้ำ การผันน้ำ หรือการป้องกันภัยพิบัติ มีความแม่นยำ ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และที่สำคัญคือ สร้างความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้งบประมาณของภาครัฐ ลดความเสี่ยงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
2. ยกระดับข้อเสนอจากลุ่มน้ำสู่แผนระดับประเทศ (Bridging Local Needs to National Strategy): เพื่อให้เสียงจากท้องถิ่นไปถึงผู้กำหนดนโยบายในส่วนกลาง คณะกรรมการลุ่มน้ำต้องทำหน้าที่รวบรวมปัญหาความต้องการและสังเคราะห์เป็น “ข้อเสนอเชิงนโยบาย” ที่มีความสมบูรณ์ โดยต้องนำเสนออย่างเป็นระบบ มีเอกสารประกอบและเหตุผลเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน ข้อเสนอเหล่านี้จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของ กนช. ซึ่งเป็นกลไกหลักในการกำหนดทิศทางและจัดสรรงบประมาณด้านน้ำของประเทศ การยกระดับกระบวนการนี้จะทำให้ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นมีโอกาสได้รับการอนุมัติและผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ สร้างงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต
3. เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง (Inclusive Participation): การจัดการน้ำที่ยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากภาครัฐเพียงลำพัง นโยบายนี้จึงเน้นย้ำให้กระบวนการวางแผนและตัดสินใจต้องเปิดกว้างและโปร่งใส โดยดึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรผู้ใช้น้ำ และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเสนอแนะ และร่วมกำหนดแผนงาน การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจะช่วย ลดความขัดแย้งในการใช้น้ำ ซึ่งมักเป็นปัญหาเรื้อรังที่สร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล และยังช่วยให้แผนงานที่ออกมาได้รับการยอมรับและเกิดความร่วมมือในการนำไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ
4. ผลักดันแนวทางการจัดการภัยพิบัติด้านน้ำเชิงรุก (Proactive Disaster Management): ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากภัยน้ำท่วมและภัยแล้งเป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมและเศรษฐกิจโดยรวมมูลค่านับหมื่นล้านบาท นโยบายนี้จึงสั่งการให้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ตั้งรับ” มาเป็นการ “จัดการเชิงรุก” โดยให้คณะกรรมการลุ่มน้ำทำงานร่วมกับ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมและน้ำแล้งที่มีอยู่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เช่น การพร่องน้ำในเขื่อน การขุดลอกคูคลอง หรือการเตรียมพื้นที่รับน้ำหลากก่อนฤดูฝนจะมาถึง
โดยนายประเสริฐได้กล่าวย้ำเป็นพิเศษว่า “โดยเฉพาะในปีนี้ที่มีแนวโน้มของปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ขอให้คณะกรรมการลุ่มน้ำดำเนินการร่วมกับ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันภัยด้านน้ำให้มีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชน” การจัดการเชิงรุกนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ
5. เสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายลุ่มน้ำ (Capacity Building and Public Awareness): กลไกจะขับเคลื่อนได้ต้องอาศัย “คน” ที่มีความรู้ความสามารถ นโยบายข้อสุดท้ายจึงมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายลุ่มน้ำ ผ่านการจัดอบรมให้ความรู้ และที่สำคัญคือการส่งเสริมและรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้แก่ประชาชนและองค์กรผู้ใช้น้ำในวงกว้าง ให้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำ และเข้าใจหลักการบริหารจัดการ ตั้งแต่การใช้ การพัฒนา การบำรุงรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ ในระยะยาว การสร้างวัฒนธรรมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Water-Saving Culture) จะช่วยลดแรงกดดันต่อความต้องการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และทำให้การบริหารจัดการน้ำของประเทศมีความยั่งยืนอย่างแท้จริง
เป้าหมายสูงสุด: ความมั่นคงด้านน้ำเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
การสัมมนาในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการประชุมเชิงพิธีการ แต่คือการวางรากฐานการทำงานที่สำคัญของกลไกจัดการน้ำระดับพื้นที่ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 22 แห่ง ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านน้ำที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ท้ายที่สุดแล้ว ความร่วมมือร่วมใจของคณะกรรมการลุ่มน้ำและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 5 ประการนี้ จะเป็นพลังสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี สร้างความมั่นคงด้านน้ำในทุกมิติ และสามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำของประชาชนและภาคเศรษฐกิจทุกพื้นที่ได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน
#บริหารจัดการน้ำ #ประเสริฐจันทรรวงทอง #คณะกรรมการลุ่มน้ำ #สทนช #กนช #ความมั่นคงด้านน้ำ #เศรษฐกิจไทย #ภัยแล้ง #น้ำท่วม #กระทรวงดีอี #รัฐบาลเพื่อประชาชน