กรมทะเลฯ จ่อออกระเบียบใหม่ คุมเข้มทัวร์ดำน้ำ ปกป้องเศรษฐกิจปะการัง

กรมทะเลฯ จ่อออกระเบียบใหม่ คุมเข้มทัวร์ดำน้ำ ปกป้องเศรษฐกิจปะการัง

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เดินหน้าเต็มสูบ เตรียมคลอดระเบียบ “ผู้ควบคุมการท่องเที่ยวดำน้ำ” ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม หวังปกป้องแนวปะการัง สินทรัพย์เศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลของชาติ ชี้เป็นก้าวสำคัญสู่การท่องเที่ยวทางทะเลที่ยั่งยืน สอดรับโมเดลเศรษฐกิจ BCG

กรุงเทพฯ – กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ส่งสัญญาณชัดเจนในการยกระดับมาตรการคุ้มครองแนวปะการัง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศทางทะเลและเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ โดยล่าสุดได้มีการประชุมคณะทำงานฯ เพื่อผลักดันการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมเตรียมออกระเบียบใหม่เพื่อควบคุมกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำโดยเฉพาะ ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ณ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานกำกับ ติดตาม และขับเคลื่อนการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ พ.ศ. 2568 การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกรมฯ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

วาระสำคัญของการประชุมคือการขับเคลื่อนมาตรการคุ้มครองแนวปะการังให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอแผนการดำเนินงานภายใต้ประกาศกระทรวงฯ ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางในการกำกับดูแลและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแนวปะการังอันเปราะบาง

ไฮไลท์สำคัญ: เตรียมคลอดระเบียบ “ผู้ควบคุมการท่องเที่ยวดำน้ำ”

ประเด็นที่น่าจับตามองและถือเป็นก้าวใหม่ของการจัดการการท่องเที่ยวดำน้ำในประเทศไทย คือการที่ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วย ผู้ควบคุมและผู้ช่วยผู้ควบคุมการท่องเที่ยวดำน้ำในบริเวณแนวปะการัง

ระเบียบดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกำหนดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและความรับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลกิจกรรมดำน้ำในพื้นที่อ่อนไหว บทบาทของ “ผู้ควบคุมการดำน้ำ” (Dive Controller) จะไม่ได้เป็นเพียงผู้นำทางใต้น้ำ แต่จะทำหน้าที่เสมือน “ผู้พิทักษ์แนวปะการัง” ประจำกลุ่มนักท่องเที่ยว มีหน้าที่หลักในการให้ความรู้, กำกับให้นักดำน้ำปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น การรักษาระยะห่างจากปะการัง, การควบคุมการลอยตัวเพื่อไม่ให้กระทบกับพื้นทะเล, การห้ามสัมผัสหรือเก็บสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล และการบังคับใช้กฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การมีผู้ควบคุมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมฯ จะช่วยยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวดำน้ำของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างกลไกป้องกันเชิงรุก (Proactive Measure) แทนที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การสั่งปิดพื้นที่แนวปะการังเมื่อเกิดความเสื่อมโทรมไปแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

ผู้ควบคุมการท่องเที่ยวดำน้ำ

เบื้องหลังความเคลื่อนไหว: เมื่อ “ปะการัง” คือสินทรัพย์เศรษฐกิจที่ประเมินค่าไม่ได้

การที่ ทช. ต้องออกมาตรการเข้มข้นในครั้งนี้ มีที่มาจากความจริงที่ว่าแนวปะการังของไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงามใต้ท้องทะเล แต่เป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ข้อมูลจากภาคส่วนต่างๆ ชี้ชัดว่า แนวปะการังที่สมบูรณ์เป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำกิจกรรมดำน้ำทั้งแบบน้ำลึก (Scuba Diving) และน้ำตื้น (Snorkeling) ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจปีละหลายหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ธุรกิจเรือนำเที่ยว, ที่พัก, ร้านอาหาร, ร้านขายอุปกรณ์ดำน้ำ ไปจนถึงการจ้างงานในชุมชนชายฝั่ง

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของกิจกรรมท่องเที่ยวที่ขาดการควบคุมที่ดีพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อแนวปะการังอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งจากปัญหาการทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง, การที่นักท่องเที่ยวเหยียบย่ำ, การใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีทำลายปะการัง, และปัญหาขยะทะเล ปัญหาเหล่านี้เร่งให้ปะการังเสื่อมโทรมและเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงขึ้นเมื่อเผชิญกับภาวะโลกร้อน

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องทรัพยากรส่วนนี้ โดยระบุว่า “การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะแนวปะการัง ซึ่งถือเป็นระบบนิเวศที่สำคัญและเปราะบาง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”

ก้าวต่อไป: สู่การท่องเที่ยวทางทะเลคุณภาพสูง

นอกจากการพิจารณาร่างระเบียบผู้ควบคุมการดำน้ำแล้ว ที่ประชุมยังได้หารือถึงแนวทางและขั้นตอนในการตรวจสอบพื้นที่ เพื่อประเมินและติดตามสภาพแนวปะการังภายใต้มาตรการใหม่ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเลในอนาคต เช่น การกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว (Carrying Capacity) ในแต่ละพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีกิจกรรมหนาแน่นจนเกินศักยภาพของระบบนิเวศ

ความเคลื่อนไหวของ ทช. ครั้งนี้ สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่มุ่งเน้น “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” (Sustainable Tourism) และยังตอบโจทย์ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพอย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟู

การยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวดำน้ำ แม้ในระยะแรกอาจสร้างภาระหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ประกอบการบางรายในการปรับตัว แต่ในระยะยาวแล้ว นี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่จะช่วยรักษาฐานทรัพยากรซึ่งเป็น “ต้นทุน” ของธุรกิจเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างจุดขายใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทางทะเลที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง

#กรมทะเล #คุ้มครองปะการัง #ท่องเที่ยวดำน้ำ #เศรษฐกิจท่องเที่ยว #อนุรักษ์ทางทะเล #ดำน้ำ #ท่องเที่ยวไทย #สิ่งแวดล้อม #BCGModel #การพัฒนาที่ยั่งยืน #SaveCoralReefs