ดุสิตธานี จ่อปลดล็อคมูลค่า คาดรับรู้รายได้หมื่นล้าน ดันกำไรโต

ดุสิตธานี จ่อปลดล็อคมูลค่า คาดรับรู้รายได้หมื่นล้าน ดันกำไรโต

กลุ่มดุสิตธานี (DUSIT) เผยความสำเร็จแผนยุทธศาสตร์ 9 ปี เดินทางเข้าสู่ช่วงสุดท้าย “Unlock Value” เตรียมเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งใหญ่ พร้อมตั้งเป้าเติบโตปี 2568 ที่ 20-25% ไฮไลท์สำคัญคือการรอรับรู้รายได้จากโครงการที่พักอาศัย “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่กวาดยอดขายแล้วกว่า 90% มูลค่าราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ปลายปีนี้เป็นต้นไป ชี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายอย่างมีนัยสำคัญและผลักดันให้บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและอาหารเติบโตต่อเนื่อง เตรียมนำ “ดุสิต ฟู้ดส์” เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 13 มิถุนายน 2568 – ถึงเวลาเก็บเกี่ยวความสำเร็จครั้งใหญ่สำหรับ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT หลังบากบั่นเดินทางตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว 9 ปี (พ.ศ. 2559-2568) ซึ่งปัจจุบันได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเฟสที่ 3 คือ “ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต” (Unlock Value) โดยบริษัทฯ เตรียมพร้อมที่จะปลดล็อคมูลค่าจากการลงทุนและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับแฟล็กชิพที่จะเริ่มสร้างรายได้ก้อนโตเข้ามาในช่วงปลายปีนี้

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินทางมาถึงช่วงปลายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักในปี 2568 ไว้ที่ 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2567 (ไม่รวมรายได้จากรายการพิเศษ)

ไฮไลท์สำคัญ: จ่อรับรู้รายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท จาก “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญที่สุดในช่วงโค้งสุดท้ายของแผน คือการทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรี ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่าโครงการรวมกว่า 46,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน ทั้งสองโครงการที่พักอาศัยมียอดขายรวมกันแล้วประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ราว 16,000 ล้านบาท โดยมีกำหนดการจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2568 เป็นต้นไป และจะโอนอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องไปในปี 2569 ซึ่งนางศุภจีได้ย้ำว่า “การรับรู้รายได้ก้อนใหญ่นี้จะทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ไขปมขาดทุนสุทธิ สู่การกลับมาทำกำไรอย่างยั่งยืน

แม้ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีจะมีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.8% และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงถึง 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ผลประกอบการสุดท้ายยังคงบันทึกขาดทุนสุทธิ 237 ล้านบาท

นางศุภจีได้ชี้แจงประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า “จะเห็นได้ว่า หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน” โดยสาเหตุหลักของตัวเลขขาดทุนมาจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงถึงประมาณ 578 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการออกหุ้นกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตโควิด-19 และเงินกู้ยืมเพื่อพัฒนาโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ในขณะที่บริษัทฯ ยังคงทุนจดทะเบียนไว้ที่ 850 ล้านบาทโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ ให้ความเชื่อมั่นว่า “ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน”

ดุสิตธานี

มองย้อนเส้นทาง 9 ปีแห่งการทรานส์ฟอร์ม

ความสำเร็จในวันนี้เป็นผลจากวิสัยทัศน์และการวางรากฐานอย่างเป็นระบบตลอด 9 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่:

  1. ช่วงสร้างฐาน (2559-2561): 3 ปีแรกของการทรานส์ฟอร์ม โดยมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ทั้งการพัฒนาบุคลากร วัฒนธรรมองค์กร ปรับกระบวนการทำงาน และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างการเงิน
  2. ช่วงขยายการเติบโต – Take Off (2562-2565): เป็นช่วงของการขยายธุรกิจในทุกมิติ ทั้งโรงแรม การศึกษา และที่สำคัญคือการรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารผ่านการจัดตั้ง “ดุสิต ฟู้ดส์” พร้อมกับการเดินหน้าโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 แต่บริษัทฯ ก็สามารถประคับประคององค์กรและโครงการสำคัญให้เดินหน้าต่อได้
  3. ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต – Unlock Value (2566-2568): ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุน โดยกลุ่มธุรกิจต่างๆ เริ่มสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวเต็มที่ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะสร้างรายได้ครั้งประวัติศาสตร์ให้กับบริษัท

“ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก…แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ” นางศุภจีกล่าว

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโต: โรงแรม-อาหาร-การศึกษา

นอกเหนือจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่พักอาศัยแล้ว กลุ่มดุสิตธานียังมีแรงขับเคลื่อนการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจอื่นที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน

  • ธุรกิจโรงแรม: การกลับมาเปิดให้บริการของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เต็มปีเป็นครั้งแรกในปี 2568 ประกอบกับการขยายพอร์ตโฟลิโออย่างก้าวกระโดด จากเดิมมี 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 มีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารรวมถึง 294 แห่ง ใน 18 ประเทศทั่วโลก โดยคาดว่าธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 20-25% ในปี 2568
  • ธุรกิจอาหาร: บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เติบโตอย่างโดดเด่น โดยในปี 2567 สร้างรายได้ถึง 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% ผ่านการลงทุนในบริษัทชั้นนำอย่าง เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง, The Caterers ในเวียดนาม และเจ้าของแฟรนไชส์เบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) โดยบริษัทฯ กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต คาดการณ์การเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ที่ 10-15% ในปี 2568
  • ธุรกิจการศึกษา: เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปี 2567 มีรายได้ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% และตั้งเป้าเติบโตอีก 10-12% ในปี 2568

ความเชื่อมั่นกลับคืน: TRIS คงอันดับเครดิต “BBB-” แนวโน้ม “คงที่”

จากประเด็นข้อกังวลของนักลงทุนก่อนหน้านี้ กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 ในการประชุมครั้งแรก คณะผู้บริหารได้เร่งดำเนินการแก้ไขจนสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านการสอบทานได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น DUSIT รอดพ้นจากการถูกขึ้นเครื่องหมาย SP และในเวลาต่อมา ผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเป็นที่เรียบร้อย

ความโปร่งใสและการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วนี้ ส่งผลให้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “ลบ” และคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ DUSIT ไว้ที่ระดับ “BBB-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของสถาบันจัดอันดับเครดิตต่อเสถียรภาพและแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทฯ

“เรามั่นใจว่าด้วยเครื่องยนต์ทุกเครื่องของธุรกิจที่เราวางฐานไว้ และค่อยๆ สร้างการเติบโต จะสะสมพลังให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีกลับมาเติบโตและสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน” นางศุภจีกล่าวปิดท้าย

#กลุ่มดุสิตธานี #DUSIT #UnlockValue #ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค #หุ้นDUSIT #เศรษฐกิจ #ข่าวเศรษฐกิจ #อสังหาริมทรัพย์ #ธุรกิจโรงแรม #ดุสิตฟู้ดส์ #การลงทุน

Related Posts