การประชุม Energy Asia 2025 วันที่สองร้อนระอุ ผู้นำอุตสาหกรรมชู “เสียงจากเอเชีย” สร้างกรอบการเปลี่ยนผ่านพลังงานในแบบฉบับของตนเอง เผชิญความท้าทาย “พหาวิกฤต” (Polycrisis) และความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงจาก AI และดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่มาเลเซียกางแผนลงทุน 4.3 หมื่นล้านริงกิต อัปเกรดกริดไฟฟ้า พร้อมปูทางสู่ภาษีคาร์บอนในปี 2026 และเป้าหมาย Net-Zero ภายในปี 2050
กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – เวทีการประชุมพลังงานแห่งเอเชีย “Energy Asia 2025” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้ทวีความเข้มข้นขึ้นในวันที่สองของการประชุม โดยมีผู้เข้าร่วมเกือบ 3,000 คนจาก 60 ประเทศทั่วโลก ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารืออย่างกว้างขวางคือแนวทางการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) ความสามารถในการเข้าถึง (Affordability) และความยั่งยืน (Sustainability) ท่ามกลางภูมิทัศน์พลังงานโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีฉันทามติร่วมกันว่าเอเชียจำเป็นต้องมี “เสียง” และกรอบการทำงานของตนเองเพื่อรับมือกับความท้าทายเฉพาะตัวของภูมิภาค
“เสียงจากเอเชีย” ท่ามกลางความท้าทาย “พหาวิกฤต”
ตานศรี เต็งกู มูฮัมหมัด ทาฟิก ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ปิโตรนาส (PETRONAS) และประธานจัดงาน Energy Asia ได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า การลงทุนด้านพลังงานจำเป็นต้องมีมุมมองระยะยาวที่ก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลและนโยบาย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความมั่นคงทางพลังงาน ท่านประธานได้เน้นย้ำว่าการประชุม Energy Asia มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “เสียงจากเอเชีย” (Voice of Asia) และกรอบการทำงานแบบเอเชียในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งแตกต่างจากแนวทางที่มักมีศูนย์กลางอยู่ที่ยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ
ความท้าทายที่ภูมิภาคเอเชียกำลังเผชิญมีความซับซ้อนและแตกต่างอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังเช่นในมาเลเซียที่ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูงถึง 6.5% ตานศรี เต็งกู มูฮัมหมัด ทาฟิก ได้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งที่น่าสนใจระหว่างความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งนำไปสู่ “การแย่งชิงเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อย่างแท้จริง” กับความเร่งด่วนของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
“เราเชื่อมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตพร้อมกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน การผลิตพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการไม่จำเป็นต้องเป็นการทำลายล้าง” ตานศรี เต็งกู มูฮัมหมัด ทาฟิก กล่าว ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความท้าทายของเอเชีย ซึ่งมีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและประชากรจำนวนมากที่กำลังแสวงหาการพัฒนา ว่าจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในวงสนทนายังมีการนำเสนอแนวคิด “พหาวิกฤต” (Polycrisis) เพื่ออธิบายถึงความท้าทายที่ซับซ้อนที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมพลังงานต้องเผชิญ ซึ่งประกอบด้วย แหล่งสำรองปิโตรเลียมที่นำมาผลิตได้ยากขึ้น, ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่สูงขึ้น, แนวโน้มความต้องการที่ไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบพลังงานที่ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและมีความไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงความเป็นไปได้ที่มาเลเซียอาจกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในอนาคต เนื่องจากความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้มีการเตรียมการแล้ว รวมถึงแผนการสร้างสถานีแปรสภาพก๊าซธรรมชาติ (Regasification Terminal) แห่งที่สาม
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือความเป็นไปได้ที่รัฐบาลมาเลเซียจะนำเสนอภาษีคาร์บอนภายในปี 2026 โดยมีความเห็นพ้องต้องกันในวงกว้างว่าควรมีการประสานนโยบายด้านราคาคาร์บอนและภาษีทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อทำให้โครงการต่างๆ น่าลงทุนมากขึ้นและเพื่อเป็นการยอมรับถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วางกลยุทธ์ธุรกิจ Upstream มุ่งสร้างมูลค่าในโลกคาร์บอนต่ำ
ในอีกเวทีเสวนาหัวข้อ “ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนทางแยกเชิงกลยุทธ์: การสร้างมูลค่าในอนาคตที่จำกัดคาร์บอน” (Upstream at A Strategic Crossroads: Creating Value in a Carbon-Constrained Future) ผู้นำในอุตสาหกรรมได้ร่วมกันถกถึงแนวทางที่ผู้ประกอบการธุรกิจสำรวจและผลิต (Upstream) จะสามารถสร้างมูลค่าในระยะยาวท่ามกลางพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศและแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้
นายโมห์ด จูคริส อับดุล วาฮับ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตของ PETRONAS ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนผ่านการปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอ การขายสินทรัพย์บางส่วน และการให้ความสำคัญกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 78% ของสินทรัพย์ทั้งหมด การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท Eni จากอิตาลี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของสินทรัพย์ ในขณะที่การตัดสินใจลงทุนได้มีการบูรณาการเรื่องราคาคาร์บอนและต้นทุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในกระบวนการอย่างเป็นระบบ
ด้านนายกุยโด บรุสโก จากบริษัท Eni ได้นำเสนอกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยี ภูมิศาสตร์ และประเภทพลังงาน โดยมุ่งเน้นไปที่ “แหล่งปิโตรเลียมที่ได้เปรียบ” (Advantaged Barrels) ซึ่งหมายถึงแหล่งทรัพยากรที่อยู่ใกล้โครงสร้างพื้นฐานและตั้งอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย Eni ตั้งเป้าที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดที่ใส่ใจต่อคาร์บอน ด้วยการเร่งระยะเวลาดำเนินโครงการให้เหลือเพียง 3.5 ปี และขยายการลงทุนในเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) โรงกลั่นชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ
ขณะที่นายอาเมริโน กัตติ จากบริษัท Baker Hughes ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขุดเจาะ สมรรถนะของสินทรัพย์ และการจัดการตลอดอายุการใช้งาน บริษัทกำลังพัฒนาระบบการขุดเจาะแบบอัตโนมัติ การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และการบูรณาการวงจร LNG เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ผู้นำอุตสาหกรรมต่างเห็นพ้องว่าความร่วมมือตั้งแต่เนิ่นๆ การจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างมีวินัย และการเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ Upstream และในขณะที่ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การบูรณาการโซลูชันคาร์บอนต่ำควบคู่ไปกับการรักษาความยืดหยุ่นทางการเงินจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ขับเคลื่อนความยั่งยืน: เมื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องเดินคู่ธรรมชาติ
ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นทางธุรกิจที่ต้องบูรณาการเข้ากับกลยุทธ์หลัก นี่คือสาระสำคัญจากเวทีเสวนา “ผู้นำด้านความยั่งยืนกับการนำพาองค์กรฝ่าคลื่นลมการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในบริษัทพลังงาน” ผู้ร่วมเสวนาซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงด้านความยั่งยืนจาก PETRONAS, Shell และมหาวิทยาลัยโตเกียว ต่างย้ำว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่การนำแนวปฏิบัติที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกลยุทธ์หลักของธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นางชาร์ล็อตต์ วูล์ฟ-บาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนของ PETRONAS ได้เน้นย้ำว่าความพยายามในการลดคาร์บอนจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของพลังงานหมุนเวียนเองก็มีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน PETRONAS ได้จัดตั้งเวที “Energy and Nature Forum” เพื่อปลูกฝังการพิจารณาด้านความหลากหลายทางชีวภาพและธรรมชาติเข้ากับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ดร. นาโอโกะ อิชิอิ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ให้ทัศนะที่น่าสนใจว่า การสูญเสียธรรมชาติส่งผลกระทบโดยตรงต่อครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (GDP) ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างระบบการเงินที่คำนึงถึงต้นทุนทางธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน นางคาเรน เวสต์ลีย์ จาก Shell ได้ยกตัวอย่างว่าความยั่งยืนสามารถขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร โดยอ้างถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการง่ายๆ เช่น การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวบนแท่นขุดเจาะนอกชายฝั่ง
มาเลเซียเร่งเครื่องสู่เป้าหมาย Net-Zero 2050
ในเวทีเสวนาของรัฐมนตรี (Ministerial Plenary) หัวข้อ “การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของมาเลเซีย” รัฐบาลมาเลเซียได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนที่แน่วแน่ในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050
วุฒิสมาชิก ดาตุก เสรี อาเมียร์ ฮัมซะห์ อาซิซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่สอง กล่าวว่าภาคพลังงานของมาเลเซียในปัจจุบันมีสัดส่วนการปล่อย CO2 ถึง 79% ของการปล่อยทั้งหมดของประเทศ ท่านได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปเชิงเนื้อหาที่นอกเหนือไปจากการประกาศนโยบาย โดยต้องบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งหมด
แผนการริเริ่มที่สำคัญประกอบด้วย:
- การลงทุน 4.3 หมื่นล้านริงกิต (MYR) เพื่อยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในส่วนผสมเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าจาก 8% เป็น 16%
- การเตรียมการนำเสนอภาษีคาร์บอนในปี 2026 ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อขจัดความบิดเบือนของตลาด
- มาตรการจูงใจทางการคลัง เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนสีเขียว (Green Investment Tax Allowance) และการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกิจการสีเขียว (Green Income Tax Exemption) ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกด้านการเงินสีเขียว และตราสารหนี้สีเขียว (Green Sukuk)
นายอัคมัล นาสรุลเลาะห์ โมห์ด นาซิร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงทางน้ำ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนที่นำทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานแห่งชาติ (National Energy Transition Roadmap – NETR) ซึ่งเปิดตัวในปี 2023 โดยประกอบด้วย 10 โครงการนำร่อง และ 6 กลไกหลักในการลดคาร์บอน ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพพลังงาน, พลังงานหมุนเวียน, และไฮโดรเจน NETR ยังมุ่งเน้นการขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่จาก 400 เมกะวัตต์ เป็น 4,000 เมกะวัตต์ และเพิ่มการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาคครัวเรือน
ในมุมมองของกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม (MITI) นายเลียว ชิน ทง รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ชี้ให้เห็นว่ามาเลเซียกำลังเปลี่ยนจากประเทศที่เน้นการค้า (Trading Nation) ไปสู่ประเทศที่เน้นเทคโนโลยี (Technology Nation) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไฮเทคที่ใช้พลังงานต่ำ และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในโครงการสีเขียว
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูลและภาคส่วน AI ทำให้การยกระดับโครงข่ายไฟฟ้า การติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และการจัดการกริดที่ยืดหยุ่นกลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน นอกจากนี้ ความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโครงการโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของพลังงาน ที่น่าสนใจคือ ในการเสวนายังยอมรับถึงความจำเป็นที่อาจจะต้องพิจารณาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าฐาน (Baseload Power) และบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050
บทสรุปจากการประชุมในวันที่สองชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานในเอเชียเป็นเส้นทางที่ต้องอาศัย “แนวทางของทุกภาคส่วน” (whole-of-nation) ซึ่งผสมผสานการลงทุนที่กล้าหาญ การปฏิรูปนโยบายที่ชัดเจน ความร่วมมือในระดับภูมิภาค และการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการทางเศรษฐกิจกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนและมั่นคงสำหรับทุกคนในภูมิภาค
#EnergyAsia2025 #EnergyTransition #ความมั่นคงทางพลังงาน #พลังงานเอเชีย #ปิโตรนาส #PETRONAS #NetZero2050 #เศรษฐกิจมาเลเซีย #พลังงานยั่งยืน #AI #DataCenter #CarbonTax #NETR