การ์ทเนอร์ เผย 6 แนวโน้มสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ชี้คลาวด์กำลังเปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือทางเทคโนโลยีสู่การเป็น “หัวใจหลัก” ในการขับเคลื่อนธุรกิจ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และปลดล็อกโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยแนวโน้มที่น่าจับตาประกอบด้วย ความไม่พึงพอใจในการใช้คลาวด์ , การเติบโตของ AI/ML, ความซับซ้อนของ Multicloud, ความยั่งยืน, อธิปไตยดิจิทัล และโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมรับมือเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ในยุคที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นในการอยู่รอดของธุรกิจ เทคโนโลยี “คลาวด์” ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่องค์กรทั่วโลกต่างนำมาปรับใช้ อย่างไรก็ตาม การเดินทางบนเส้นทางสายคลาวด์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ล่าสุด การ์ทเนอร์ (Gartner) บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลก ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ถึง 6 แนวโน้มสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทและกำหนดอนาคตของการใช้คลาวด์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานขององค์กรในทุกอุตสาหกรรม
นาย Joe Rogus ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แนวโน้มเหล่านี้เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงของวิธีการที่คลาวด์เปลี่ยนผ่านจากตัวช่วยด้านเทคโนโลยีไปเป็นปัจจัยขับเคลื่อน และความจำเป็นทางธุรกิจสำหรับองค์กรส่วนใหญ่ โดยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ คลาวด์จะยังเดินหน้าปลดล็อกโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ มอบความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน และนำเสนอแนวทางบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ”
รายงานของการ์ทเนอร์ได้ชี้ให้เห็นถึง 6 แนวโน้มหลักที่จะขับเคลื่อนอนาคตของคลาวด์ ซึ่งจะนำไปสู่วิธีการทำงานใหม่ๆ ที่เป็นดิจิทัลโดยธรรมชาติและสร้างผลกระทบเชิงเปลี่ยนแปลงแก่องค์กร ดังนี้
แนวโน้มที่ 1: ความท้าทายจาก “ความไม่พึงพอใจในคลาวด์” (Cloud Dissatisfaction)
แม้ว่าอัตราการนำคลาวด์มาใช้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ความสำเร็จกลับไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกองค์กร การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2571 หรืออีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ราว 25% ขององค์กรทั่วโลกจะเผชิญกับ “ความไม่พึงพอใจ” ในการใช้งานคลาวด์อย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาดังกล่าวมีรากฐานมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง, การนำไปใช้งานที่ไม่เหมาะสมกับบริบทขององค์กร หรือปัญหาคลาสสิกอย่างการไม่สามารถควบคุมต้นทุนที่บานปลายได้
ความท้าทายนี้สะท้อนให้เห็นว่าการ “ย้ายขึ้นคลาวด์” เพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่การจะแข่งขันในตลาดได้ องค์กรจำเป็นต้องมีกลยุทธ์คลาวด์ที่ชัดเจนและแผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรที่สามารถแก้ไขปัญหานี้โดยให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า (Upfront Strategic) อย่างรอบคอบ จะสามารถลดโอกาสเกิดความไม่พึงพอใจได้อย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2572
แนวโน้มที่ 2: ความต้องการ AI และ Machine Learning พุ่งทะยาน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่ทุกธุรกิจต่างต้องการนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบ และคลาวด์คือโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดีที่สุด การ์ทเนอร์ชี้ว่าเหล่าผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ (Hyperscaler) จะเป็นแกนกลางของการเติบโตนี้ โดยจะฝังความสามารถด้าน AI เข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานไอที เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกิดการร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) เพื่อฝึกฝนโมเดล AI ให้มีความฉลาดมากขึ้น
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 ทรัพยากรการประมวลผลบนคลาวด์กว่าครึ่งหนึ่ง (50%) จะถูกนำไปใช้สำหรับเวิร์กโหลดที่เกี่ยวกับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปัจจุบันที่ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 10%
“ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าของปริมาณเวิร์กโหลดบนคลาวด์ที่เกี่ยวกับ AI ในปี 2029” นาย Rogus กล่าวเสริม “โดยเวลานี้เป็นช่วงที่องค์กรต้องประเมินว่าดาต้าเซ็นเตอร์และกลยุทธ์คลาวด์ของพวกเขาพร้อมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของความต้องการ AI & ML หรือไม่ หลายเคสที่อาจต้องนำ AI ไปยังที่ที่ข้อมูลอยู่เพื่อสนับสนุนการเติบโตนี้”
แนวโน้มที่ 3: ความซับซ้อนของ Multicloud และการมาถึงของ Cross-Cloud
ปัจจุบัน หลายองค์กรเลือกใช้สถาปัตยกรรมแบบมัลติคลาวด์ (Multicloud) หรือการใช้บริการคลาวด์จากผู้ให้บริการหลายราย เพื่อลดความเสี่ยงและเลือกใช้บริการที่ดีที่สุดจากแต่ละค่าย อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้มาพร้อมกับความท้าทายสำคัญ นั่นคือการเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการแต่ละราย การขาดความสามารถในการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น (Interoperability) ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้การนำคลาวด์มาใช้เกิดความล่าช้าและไม่เต็มประสิทธิภาพ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2572 มากกว่าครึ่งหนึ่ง (50%) ขององค์กรจะยังไม่ได้รับผลลัพธ์ตามที่คาดหวังจากการลงทุนในมัลติคลาวด์
เพื่อแก้ปัญหานี้ การ์ทเนอร์แนะนำให้องค์กรระบุกรณีการใช้งาน (Use Case) ที่เฉพาะเจาะจง และวางแผนสำหรับแอปพลิเคชันและข้อมูลที่มีการกระจายศูนย์ (Distributed Apps and Data) ซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากการนำโมเดลครอสคลาวด์ (Cross-Cloud Deployment Model) มาปรับใช้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันข้ามแพลตฟอร์มคลาวด์ได้อย่างแท้จริง
แนวโน้มที่ 4: โซลูชันคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ (Industry Solutions)
ตลาดคลาวด์กำลังก้าวสู่ยุคของการปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม (Verticalization) มากขึ้น ผู้ให้บริการจำนวนมากกำลังหันมานำเสนอแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ (Industry Cloud Platforms) ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จำเพาะเจาะจง และช่วยให้องค์กรสามารถขยายขนาดโครงการดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แนวโน้มนี้กำลังมาแรง โดยการ์ทเนอร์คาดว่า ภายในปี 2572 องค์กรมากกว่า 50% จะหันมาใช้แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับอุตสาหกรรม เพื่อเร่งขับเคลื่อนโครงการทางธุรกิจของตน คำแนะนำคือ องค์กรควรวางกลยุทธ์นำแพลตฟอร์มเหล่านี้มาใช้เพื่อ “เสริมความสามารถใหม่ๆ” ให้กับผลิตภัณฑ์และบริการไอทีเดิม มากกว่าที่จะเป็นการ “แทนที่ทั้งหมด” เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) และสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มที่ 5: อธิปไตยดิจิทัล (Digital Sovereignty)
ประเด็นเรื่องอธิปไตยดิจิทัล หรือการที่ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและเขตอำนาจศาลของประเทศนั้นๆ กำลังทวีความสำคัญขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากทั้งการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย, กฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวดขึ้น (เช่น GDPR, PDPA) และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติ ถูกกำหนดให้ต้องปกป้องข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และเวิร์กโหลดที่สำคัญจากการถูกควบคุมหรือเข้าถึงโดยรัฐบาลต่างประเทศ
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 องค์กรข้ามชาติมากกว่า 50% จะต้องมีกลยุทธ์ด้านอธิปไตยดิจิทัลที่ชัดเจน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 10% “ขณะที่องค์กรปรับกลยุทธ์คลาวด์เป็นเชิงรุกเพื่อตอบสนองข้อกำหนด Digital Sovereignty กลับมีข้อเสนอที่หลากหลายอยู่แล้วที่จะสนับสนุนพวกเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องเข้าใจข้อกำหนดของตนเองอย่างแน่ชัด เพื่อที่จะสามารถเลือกส่วนผสมที่เหมาะสมของโซลูชันในการปกป้องข้อมูลและการดำเนินงานของตนได้อย่างสมบูรณ์” นาย Rogus ให้ความเห็น
แนวโน้มที่ 6: ความยั่งยืน (Sustainability) คือความรับผิดชอบร่วมกัน
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้กลายเป็นวาระสำคัญของโลกธุรกิจ และเทคโนโลยีคลาวด์ก็เป็นส่วนหนึ่งของสมการนี้ ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้งานคลาวด์ต่างมีความรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยั่งยืนมากขึ้น แรงผลักดันมาจากทั้งหน่วยงานกำกับดูแล, นักลงทุน และความต้องการของสาธารณชนที่ต้องการเห็นความสอดคล้องกันระหว่างการลงทุนทางเทคโนโลยีและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวิร์กโหลด AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลกำลังจะเพิ่มขึ้น องค์กรจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องทำความเข้าใจ, วัดผล และบริหารจัดการผลกระทบด้านความยั่งยืนของเทคโนโลยีคลาวด์ใหม่ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ผลวิจัยของการ์ทเนอร์ชี้ว่า ในปี 2572 องค์กรทั่วโลกมากกว่า 50% จะจัดลำดับความสำคัญด้านความยั่งยืนให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) เพื่อให้ได้รับคุณค่าสูงสุดจากการลงทุนในคลาวด์ องค์กรจำเป็นต้องมองไกลกว่าแค่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และจัดวางกลยุทธ์ความยั่งยืนให้สอดรับกับผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญอื่นๆ ด้วย
โดยสรุปแล้ว อนาคตของคลาวด์มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวและวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง การมองคลาวด์เป็นเพียงเครื่องมือลดต้นทุนด้านไอทีนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่องค์กรต้องมองให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนนวัตกรรม, สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญ รวมถึงความยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัลยุคต่อไป
#ข่าวเศรษฐกิจ #การ์ทเนอร์ #คลาวด์คอมพิวติ้ง #เทรนด์เทคโนโลยี #อนาคตคลาวด์ #ปัญญาประดิษฐ์ #AI #Multicloud #ความยั่งยืน #DigitalSovereignty #IndustryCloud #DigitalTransformation #Gartner