GIT แนะผู้บริโภคเข้าใจเทคนิคหัตถศิลป์ทองคำ ชี้ 3 สิ่งต้องรู้ก่อนซื้อ เลี่ยงเข้าใจผิด

GIT แนะผู้บริโภคเข้าใจเทคนิคหัตถศิลป์ทองคำ ชี้ 3 สิ่งต้องรู้ก่อนซื้อ เลี่ยงเข้าใจผิด

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) ไขข้อข้องใจผู้บริโภคเกี่ยวกับ “งานหัตถศิลป์ทองคำ” ที่กำลังเป็นที่นิยม ชี้แจงเทคนิคการผลิตสำคัญ PVD และ Electroforming พร้อมแนะ “3 สิ่งสำคัญต้องรู้ก่อนซื้อ” หวังสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความสับสนในการซื้อขาย และเสริมสร้างความมั่นใจให้ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปัจจุบัน “งานหัตถศิลป์ทองคำ” ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้าน ของขวัญมงคล หรือของสะสมส่วนตัว โดยมักนำเสนอในรูปลักษณ์ที่หรูหรา งดงาม ผ่านภาพหรือสัญลักษณ์มงคลตามความเชื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับปริมาณและมูลค่าทองคำที่แท้จริงในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ เพื่อสร้างความรู้เท่าทันและเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทคนิคการผลิตและข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ

เทคนิคการผลิตเบื้องหลังความงามของหัตถศิลป์ทองคำ

นายจักรพันธ์ สุวรรณวิจิตร หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบโลหะมีค่า สถาบัน GIT อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ทองคำในท้องตลาดส่วนใหญ่มักใช้เทคนิคการผลิตหลักสองวิธี คือ PVD (Physical Vapor Deposition) และ Electroforming ซึ่งแต่ละวิธีมีรายละเอียดและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

เทคนิค PVD (Physical Vapor Deposition): การเคลือบฟิล์มบาง เทคนิค PVD คือกระบวนการสร้างฟิล์มบางเคลือบบนผิวของวัสดุต่างๆ ซึ่งมักไม่นำไฟฟ้า เช่น ภาพงานหัตถศิลป์สำหรับตกแต่งบ้าน โดยมีหลักการดังนี้:

  • วัสดุเคลือบ: ใช้สารเคลือบที่เป็นทองคำความบริสุทธิ์สูง (เช่น ทองคำ 99.99%) หรือโลหะอื่นที่สามารถทดแทนโลหะมีค่าได้
  • กระบวนการ: นำสารเคลือบไประเหยด้วยกระแสไฟฟ้า และผสมกับแก๊สในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างสารประกอบที่สามารถยึดเกาะกับชิ้นงานได้ดี
  • การเคลือบ: สารประกอบที่ได้จะถูกระเหยและเคลือบลงบนพื้นผิวของชิ้นงาน
  • ความหนา: ชั้นเคลือบที่ได้จะมีความหนาเพียงประมาณ 0.1-0.2 ไมครอน (Micron) เท่านั้น
  • ปริมาณทองคำ: หากนำชิ้นงานที่ผลิตด้วยเทคนิค PVD ไปหลอม จะแทบไม่เห็นเนื้อทองคำด้วยตาเปล่า เนื่องจากมีปริมาณทองคำน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักรวมของชิ้นงาน

นายจักรพันธ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “งานที่ใช้เทคนิค PVD ด้วยทองคำ 99.99% นั้น ต้องใช้เทคโนโลยีและเทคนิคในการแปรรูปทองคำให้อยู่ในอนุภาคเล็กเพื่อให้สามารถพ่นเคลือบลงไปในวัสดุรูปต่างๆ ได้ จึงมีต้นทุนในการผลิต”

  1. เทคนิค Electroforming (อิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง): การขึ้นรูปเนื้อทอง เทคนิค Electroforming เป็นกระบวนการสร้างรูปทรงของชิ้นงานให้มีลักษณะกลวงภายในและมีน้ำหนักเบา ตัวอย่างที่พบบ่อยคือตุ๊กตามงคลต่างๆ เช่น ปี่เซียะ โดยมีหลักการดังนี้:

    • แม่แบบ: เริ่มจากการนำแวกซ์ (Wax) มาขึ้นรูปตามแบบที่ต้องการ
    • การนำไฟฟ้า: เคลือบผิวแวกซ์ด้วยแลคเกอร์ของโลหะเงินหรือทองแดงเพื่อให้สามารถนำไฟฟ้าได้
    • การกำจัดแม่แบบ: เจาะรูบนชิ้นงานแล้วใช้ความร้อนต้มเพื่อนำแวกซ์ที่อยู่ภายในออก เหลือเพียงโครงสร้างภายนอกที่เคลือบสารนำไฟฟ้า
    • การชุบทอง: นำโครงสร้างที่ได้ไปชุบด้วยทองคำ 99.99%
    • ความหนา: ชั้นทองคำที่ได้จะมีความหนาประมาณ 0.1-0.2 มิลลิเมตร (Millimeter) ซึ่งหนากว่า PVD อย่างมาก (1 มิลลิเมตร = 1,000 ไมครอน)
    • ปริมาณทองคำ: หากนำชิ้นงานที่ผลิตด้วยเทคนิค Electroforming ไปหลอม จะยังคงเหลือเนื้อทองคำให้เห็น และมีปริมาณใกล้เคียงกับน้ำหนักของชิ้นงานนั้นๆ “ซึ่งเป็นการขึ้นรูปด้วยทองคำ 99.99% น้ำหนักของชิ้นงานที่ได้ก็คือน้ำหนักของทองคำนั่นเอง”

GIT

ความท้าทายในการวิเคราะห์และประเด็นที่ผู้บริโภคต้องตระหนัก

ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปด้วยเทคนิค PVD หรือ Electroforming ส่วนใหญ่มักถูกวิเคราะห์เปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทองคำด้วยวิธี XRF (X-ray Fluorescence) เทคนิคนี้สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งชนิดและปริมาณของธาตุบนพื้นผิวชิ้นงาน แต่มีข้อจำกัดคือสามารถวิเคราะห์โลหะบนพื้นผิวได้ลึกไม่เกิน 15 ไมครอน (สำหรับทองคำ)

นายจักรพันธ์ ชี้แจงว่า “หากนำชิ้นงาน PVD มาตรวจด้วยเทคนิค XRF แล้วพบว่าได้ 99.99% นั้น ก็เนื่องจากเป็นความบริสุทธิ์ของทองคำที่วิเคราะห์จากผิวชิ้นงานจากการทำ PVD ซึ่งเป็นความบริสุทธิ์ของทองคำที่เคลือบไว้นั่นเอง แต่จะมีปริมาณทองคำน้อยและบางมาก ต่างจากกรณีการทำ Electroforming”

เขายังกล่าวถึงต้นทุนในการแปรสภาพกลับเป็นทองคำว่า “เช่นเดียวกันหากจะนำชิ้นงานมาแปรรูปกลับไปเป็นทองคำเช่นเดิมก็ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาด้วยว่าคุ้มค่ากับมูลค่าทองคำที่จะได้กลับมาหรือไม่ ดังนั้น ผู้บริโภคควรตั้งคำถามก่อนว่า เราซื้อสินค้าประเภทนี้เพราะอะไร เป็นของขวัญตกแต่งบ้านใช่หรือไม่ หากซื้อเพื่อการสะสมหรือการลงทุน นอกจากต้องขอใบรับรองและตรวจสอบวัสดุให้ชัดเจนแล้ว อาจพิจารณาการลงทุนด้วยด้วยผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นทองคำแท่ง หรือทองคำรูปพรรณ เป็นต้น”

บทบาท GIT ในการสร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองผู้บริโภค

นายทนง ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการGIT กล่าวว่า ในฐานะสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ GIT มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงโลหะมีค่า ด้วยเครื่องมือมาตรฐานระดับสากล ผู้บริโภคสามารถนำสินค้ามาวิเคราะห์องค์ประกอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ หรือขอคำปรึกษาเรื่องการซื้อขายทองคำในเชิงวิชาการได้ที่GIT

“ภาพหัตถศิลป์ทองคำ เป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม แต่ในเชิงพาณิชย์ ผู้บริโภคจำเป็นต้องรู้เท่าทันข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้ตรงตามความต้องการ โดยGIT พร้อมเป็นหน่วยงานกลางในการให้ความรู้และวิเคราะห์องค์ประกอบทางวัสดุ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและเสริมสร้างความโปร่งใสในตลาดอัญมณีและเครื่องประดับไทย” นายทนง กล่าวเสริม

3 สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อหัตถศิลป์ทองคำ

เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ทองคำได้อย่างมั่นใจและตรงตามวัตถุประสงค์ GIT ได้แนะนำหลักการง่ายๆ 3 ประการที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนี้:

  1. เข้าใจกลุ่มผลิตภัณฑ์ และมีวัตถุประสงค์ในการซื้อที่ชัดเจน:

    • พิจารณากลุ่มสินค้า: ต้องแยกแยะว่าต้องการซื้อสินค้าประเภทใด
    • เพื่อการสะสมหรือลงทุน: ควรเลือกซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณ ที่มาพร้อมใบรับรองมาตรฐาน
    • เพื่อวัตถุประสงค์อื่น: เช่น ของตกแต่งบ้าน หรือสินค้าตามความเชื่อ ควรสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการผลิตอย่างชัดเจน พร้อมพิจารณาราคาซื้อขายที่สมเหตุสมผลและเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย
  2. พิจารณาผู้ผลิตและแหล่งที่ซื้อ:

    • ความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต: เลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติที่ดี และใช้เทคโนโลยีรวมถึงนวัตกรรมการผลิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
    • แหล่งซื้อที่ไว้ใจได้: เลือกซื้อจากร้านค้าหรือแหล่งจำหน่ายที่มีชื่อเสียง สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใส
  3. การขอใบรับรอง และข้อมูลวัสดุอย่างละเอียด:

    • สอบถามข้อมูลเชิงลึก: ผู้ซื้อควรถามหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ เช่น ความบริสุทธิ์ของทองคำ (หากมีการกล่าวอ้าง), น้ำหนักทองคำที่แท้จริง (ถ้ามี), เทคนิคและกระบวนการผลิตที่ใช้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน
    • การตรวจสอบและใบรับรอง: หากเป็นทองคำแท้ ควรสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ด้วยวิธีที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือได้ เช่น GIT และควรมีใบรับรองผลิตภัณฑ์ (Product Certificate) ประกอบ
    • มองหาสัญลักษณ์ BWC: พิจารณาสินค้าที่มีสัญลักษณ์และใบรับรองภายใต้โครงการ “ซื้อด้วยความมั่นใจ” (Buy With Confidence – BWC) ของ GIT เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
GIT
นายทนง ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ

“เคลือบทอง” หรือ “ทองพ่น” ไม่ใช่ “ทองคำแท้เพื่อการลงทุน”

GIT เน้นย้ำว่า คำว่า “เคลือบทอง” หรือ “ทองพ่น” มีความหมายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “ทองคำแท้เพื่อการลงทุน” แม้วัสดุที่ใช้ในการเคลือบผิวชิ้นงานอาจเป็นทองคำ 99.99% แต่ด้วยความหนาเพียง 0.1-0.2 ไมครอน (สำหรับเทคนิค PVD) ทำให้ปริมาณเนื้อทองคำที่เคลือบอยู่นั้นมีน้อยมาก ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ที่ปริมาณทองคำ แต่เป็นมูลค่าทางศิลปะ ความสวยงาม หรือคุณค่าทางจิตใจ

ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาคำอธิบายสินค้าอย่างถี่ถ้วน และไม่ลังเลที่จะสอบถามข้อมูลจากผู้ขายอย่างละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ ให้ได้สินค้าที่ตรงตามความต้องการและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอย่างแท้จริง การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะช่วยป้องกันปัญหาความเข้าใจผิด และส่งเสริมบรรยากาศการซื้อขายที่เป็นธรรมในตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

#GIT #หัตถศิลป์ทองคำ #ทองคำ #เครื่องประดับ #ผู้บริโภค #การลงทุน #PVD #Electroforming #ซื้อด้วยความมั่นใจ #GITStandard #BWC #เศรษฐกิจ #ทองคำ9999 #รู้ก่อนซื้อ #คุ้มครองผู้บริโภค

Related Posts