จับตา ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ปลุกชีพจรเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่เมืองรอง

จับตา ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ปลุกชีพจรเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่เมืองรอง

ททท. เปิดเกมรุกครึ่งปีหลัง เตรียมอัดฉีดเม็ดเงินสู่รากหญ้าผ่านโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เฟสใหม่ หวังปลุกชีพจรเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศให้คึกคัก ตั้งเป้าดันยอดเดินทางชาวไทยพุ่งแตะ 69 ล้านคน-ครั้ง พร้อมกลไกใหม่ “บังคับเที่ยวเมืองรอง” กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ด้าน “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการ ททท. ย้ำวิสัยทัศน์ระยะยาว เดินหน้าโครงการ “Village to the World” ยกระดับชุมชนสู่เวทีโลกด้วยมาตรฐานความยั่งยืน ESG สร้างการเติบโตเชิงคุณภาพควบคู่กัน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ยังคงต้องการแรงกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย โดยเตรียมเปิดตัว 2 โครงการเรือธงที่ดำเนินงานควบคู่กัน ทั้งมาตรการกระตุ้นระยะสั้นที่หวังผลได้ทันที และแผนการสร้างรากฐานระยะยาวที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังว่า ททท. กำลังจะกลับมาพร้อมกับโครงการที่หลายคนรอคอย นั่นคือ “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง” ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้จ่าย

ผู้ว่าการ ททท. ได้ฉายภาพเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (ก.ค. – ต.ค.) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางอยู่ที่ประมาณ 66 ล้านคน-ครั้ง ททท. คาดการณ์ว่าการกลับมาของโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งในครั้งนี้ จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น และจะสามารถผลักดันตัวเลขให้ทะยานขึ้นไปสู่ระดับ 69 ล้านคน-ครั้ง หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว 2-3 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสำเร็จของโครงการ แต่ยังหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะถูกสูบฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจฐานราก ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่องทั่วประเทศให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“เราคาดว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้น (boost) เศรษฐกิจและธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี” นางสาวฐาปนีย์กล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงความพิเศษของโครงการในเวอร์ชันนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

หัวใจสำคัญที่ทำให้ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ฉบับใหม่นี้ไม่ใช่แค่โครงการแจกเงินเพื่อการท่องเที่ยว แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการกระจายรายได้ คือ “กลไกและเงื่อนไข” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กระจายตัวไปยัง “เมืองรอง” หรือที่ ททท. เรียกว่า “เมืองน่าเที่ยว” ให้มากขึ้น จากเดิมที่นักท่องเที่ยวมักกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลักไม่กี่แห่ง

ภายใต้เงื่อนไขใหม่นี้ ผู้เข้าร่วมโครงการ 1 คน จะได้รับสิทธิ์ในการใช้จ่ายทั้งหมด 5 สิทธิ์ โดยมีการแบ่งโควต้าอย่างชัดเจน ได้แก่ 3 สิทธิ์ สำหรับใช้จ่ายใน “เมืองหลัก” และอีก 2 สิทธิ์ สำหรับใช้จ่ายใน “เมืองน่าเที่ยว” ซึ่งเป็นเมืองรองโดยเฉพาะ วัตถุประสงค์ของการออกแบบสิทธิ์ในลักษณะนี้ มีความลึกซึ้งมากกว่าแค่การให้ส่วนลด แต่เป็นการ “จูงใจเชิงบังคับ” ให้นักท่องเที่ยวต้องวางแผนการเดินทางไปยังเมืองน่าเที่ยวอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อที่จะสามารถใช้สิทธิ์ที่ได้รับมาอย่างครบถ้วนและคุ้มค่าที่สุด

กลยุทธ์ดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนการเปิดประตูบานใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่าง ค้นพบเสน่ห์ของท้องถิ่นที่หลากหลายซึ่งอาจไม่เคยอยู่ในแผนการเดินทางมาก่อน ขณะเดียวกันก็เป็นการกระจายเม็ดเงินและโอกาสทางเศรษฐกิจไปยังชุมชนและผู้ประกอบการในเมืองรองโดยตรง ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึงตามเจตนารมณ์ของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ททท. ภายใต้การนำของนางสาวฐาปนีย์ ยังมองการณ์ไกลไปถึงการสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในระยะยาว ผ่านอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่เปรียบเสมือนเสาหลักอีกต้นหนึ่ง นั่นคือ โครงการ “Village to the World”

โครงการนี้สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการท่องเที่ยวไทยครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยมุ่งเน้น “ปริมาณ” นักท่องเที่ยวเป็นหลัก ไปสู่การให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” และ “ความยั่งยืน” อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การเป็น “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (High-value Tourism)” ที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง รวมถึงใส่ใจในประเด็นด้านความยั่งยืน (Sustainability)

นางสาวฐาปนีย์ได้อธิบายถึงแนวคิดสำคัญของโครงการว่า เป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากการนับจำนวนนักท่องเที่ยว ไปสู่การสร้างสรรค์คุณภาพของประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับกลับไป ซึ่งหัวใจของการยกระดับครั้งนี้ตั้งอยู่บนโมเดล ESD หรือ ESG ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่ครอบคลุมการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) ชุมชนต้องมีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่ใส่ใจและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ, สังคม (Social) ผู้คนในชุมชนต้องได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างเป็นธรรม สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และ ธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งหมายรวมถึงความซื่อสัตย์ ไม่ฉวยโอกาสหรือหลอกลวงนักท่องเที่ยวในระดับชุมชน และการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและตลาดทุนอย่างโปร่งใสในระดับธุรกิจ

ความน่าสนใจของโครงการ “Village to the World” ในซีซั่นที่ 4 คือการขยายผลและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย ททท. ได้เปิดกว้างให้ทุกชุมชนที่มีความพร้อมสามารถเข้าร่วมโครงการได้ทันที ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงไม่กี่ชุมชนเหมือนในอดีต และที่สำคัญคือการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนกว่า 10 ราย โดยเน้นการจับคู่ระหว่างชุมชน กับ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ความร่วมมือนี้ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Situation) อย่างแท้จริง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กฎหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มประเทศยุโรปจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ทำให้บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่จำเป็นต้องแสวงหาคู่ค้าหรือโครงการที่ดำเนินงานโดยมีธรรมาภิบาลที่ดีด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบและทิศทางของโลก ซึ่งโครงการ Village to the World สามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว ในขณะที่ชุมชนก็จะได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านองค์ความรู้ เงินทุน และการตลาด เพื่อยกระดับตัวเองสู่มาตรฐานสากล นอกจากนี้ ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการยังมีโอกาสได้นำเสนอศักยภาพและโปรแกรมการท่องเที่ยวของตนเองในเวทีระดับนานาชาติอย่างงาน World Travel Mart (WTM) ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลกได้โดยตรง

วิสัยทัศน์ของผู้ว่าการ ททท. ที่มีต่อโครงการนี้คือความต่อเนื่องและไม่สิ้นสุด “โครงการ Village to the World เป็นโครงการระยะยาวที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง” นางสาวฐาปนีย์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการทิ้งชุมชนเก่าที่เคยเข้าร่วมโครงการในซีซั่นก่อนๆ แต่จะยังคง “บำรุงรักษา (Maintain)” และ “ต่อยอด (Upgrade)” ชุมชนเหล่านั้นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยจะมีการนำโมเดล ESD ที่พัฒนาขึ้นใหม่เข้าไปเสริมศักยภาพ เพื่อให้มีความสมบูรณ์และทันสมัยอยู่เสมอ

กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์ของ ททท. ในยุคนี้คือการเดินหน้าด้วยสองขาที่มั่นคง ขาหนึ่งคือ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่ทำหน้าที่เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สร้างความคึกคักและกระจายรายได้สู่เมืองรองอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกขาหนึ่งคือ “Village to the World” ที่ทำหน้าที่สร้างรากฐานอันแข็งแกร่งในระยะยาว ยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การเติบโตเชิงคุณภาพและยั่งยืน ซึ่งการผสานสองกลยุทธ์นี้เข้าด้วยกัน จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่นำพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุลและมั่นคงในเวทีโลก

#เที่ยวไทยคนละครึ่ง #ททท #ฐาปนีย์เกียรติไพบูลย์ #เศรษฐกิจไทย #ท่องเที่ยวไทย #เมืองรอง #ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน #VillagetotheWorld #ESG #กระตุ้นเศรษฐกิจ

Related Posts