กรุงศรี ผนึกภาครัฐชูทิศทางปี 68 ปั้นอุตสาหกรรมใหม่เชื่อมญี่ปุ่น-อาเซียน

กรุงศรี ผนึกภาครัฐชูทิศทางปี 68 ปั้นอุตสาหกรรมใหม่เชื่อมญี่ปุ่น-อาเซียน

ภาครัฐและเอกชนผนึกกำลังครั้งสำคัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศวิสัยทัศน์ “ไทยพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง” ชูบทบาทรัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก ขานรับโดย กรุงศรี ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจญี่ปุ่น ประกาศกลยุทธ์ JPC Banking ปี 2568 ภายใต้แนวคิด ‘Co-creating New Core Industries’ ผ่านเวที Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair 2025 มุ่งสร้างระบบนิเวศ ปั้นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ณ เวทีจับคู่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน “Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair 2025 ได้เกิดภาพสะท้อนความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจแห่งอนาคตของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันการลงทุนและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยงานดังกล่าวได้รับเกียรติจาก

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานและแสดงวิสัยทัศน์ที่สำคัญต่อผู้ประกอบการ นักลงทุน และสตาร์ทอัพจากทั่วทั้งภูมิภาค

นายเอกนัฏกล่าวว่า โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสภาวะที่ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการยอมรับและโอบรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง “เราไม่สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงแล้ว เราควรโอบรับและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงนำมาซึ่งความท้าทาย แต่ยังนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ด้วย และนี่คือจิตวิญญาณของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เน้นย้ำถึงบทบาทใหม่ของภาครัฐว่า “หน้าที่ของผมไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่คือการอำนวยความสะดวกและช่วยนำทางการเปลี่ยนแปลงนี้” โดยรัฐบาลกำลังดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการทบทวนกฎหมายและกำหนดกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ควบคู่ไปกับการสร้างระบบที่ขับเคลื่อนด้วยความโปร่งใสและสุจริต นอกจากนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำลังปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมและการสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูง

นายเอกนัฏยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของเมืองคิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวของอุตสาหกรรมกับการรักษาสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรากฐานของหลักการ ESG และชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจาก 3 องค์ประกอบสำคัญคือ ความร่วมมือระดับโลก, การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือ ‘องค์กรธุรกิจ’ หรือ ‘Enterprise’ ซึ่งก็คือเหล่าสตาร์ทอัพที่เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยุคใหม่

“สตาร์ทอัพเหล่านี้คือหัวใจสำคัญ แต่แน่นอนว่าพวกเขาต้องการการผลักดันในช่วงแรก (Kick-start) จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ธนาคารและรัฐบาลจะช่วยกันจุดประกายและผลักดันให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้เริ่มต้น บัดนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ผมคิดว่าประเทศไทยได้รับสัญญาณเตือนให้ตื่นตัวแล้ว และสัญญาณทุกอย่างก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาและการลงมือทำ” นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย

กรุงศรี

เพื่อขานรับนโยบายและวิสัยทัศน์ดังกล่าวของภาครัฐ นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2568 ว่า กรุงศรีพร้อมที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นรูปธรรม

“กรุงศรี มุ่งสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยให้ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยพันธกิจในการเป็นธนาคารพันธมิตรที่ไม่เพียงให้การสนับสนุนด้านการเงินเท่านั้น แต่จะต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เราพร้อมที่จะเดินเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอันดับแรกที่ลูกค้าไว้วางใจ และด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG เราจึงสามารถครองใจกลุ่มลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นครอบคลุมกว่า 70% ของธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทย” นายโอคุโบะกล่าว

ภายใต้แนวคิดหลัก ‘Co-creating New Core Industries’ กรุงศรี ได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานผ่าน 3 เสาหลักที่สำคัญ ได้แก่

1. ขยายความร่วมมือกับภาครัฐ ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายศักยภาพสูง:

กรุงศรีจะมุ่งเน้นการสร้างโอกาสและขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมหลักใหม่แห่งอนาคต 4 ด้าน ได้แก่ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (Bio Green), เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), เทคโนโลยีการผลิตอาหาร (Food Technology) และ การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) โดยใช้ความสำเร็จจากงาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair เป็นแพลตฟอร์มสำคัญ ซึ่งในปีนี้สามารถสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจได้มากกว่า 400 คู่ และยังได้มีการลงนามความร่วมมือกับ Industrial Technology Investment Corporation (ITIC) เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพจากไต้หวันสู่ตลาดสากลอีกด้วย

2. เสริมศักยภาพธุรกิจด้วยโซลูชันทางการเงินและนวัตกรรมดิจิทัล บนกรอบการทำงาน ESG:

กรุงศรีได้ผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นแห่งแรกที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อความยั่งยืน และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น โตโยต้า ลีสซิ่ง, เอจีซี วีนิไทย และโซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสังคมแก่ โตโยต้า ลีสซิ่ง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม

3. ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ เสริมแกร่งธุรกิจปัจจุบันและอนาคตในระดับภูมิภาค:

ผ่านบริการ Krungsri ASEAN LINK กรุงศรีประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงธุรกิจไทยเข้ากับเครือข่ายธนาคารพันธมิตรของ MUFG ทั่วอาเซียน ทั้งในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยการจัดงาน Krungsri ASEAN LINK Forum ที่มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 200 ราย เป็นเครื่องยืนยันศักยภาพในการเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคอาเซียน”

การผนึกกำลังระหว่างวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของภาครัฐที่นำโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และแผนปฏิบัติการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนอย่างกรุงศรีในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนให้ก้าวสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

#กรุงศรี #กระทรวงอุตสาหกรรม #เอกนัฏพร้อมพันธุ์ #JPCBanking #ธุรกิจญี่ปุ่น #JapanASEAN #Startup #อุตสาหกรรมใหม่ #ESG #เศรษฐกิจไทย #การลงทุน #MUFG #BOI #ภาครัฐเอกชน

Related Posts